title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็งทราย
จ.พะเยา
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็งทราย
จ.พะเยา
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และหนังสือแสดงป่าชุมชน โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกิน หรือที่อยู่อาศัยของประชาชน ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ลดการเหลื่อมล้ำให้ประชาชนได้ถือครองที่ดิน มีความเสมอภาคและเท่าเทียบกัน เป็นการส่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมช่วยป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้ประชาชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดิน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งให้คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ ณ หอประชุมอำเภอแม่ใจ จ.พะเยา
ในโอกาสนี้ ได้ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็งทราย ณ หนองเล็งทราย
จ.พะเยา โดยเปิดเผยว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจังหวัดพะเยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการชลประทานพะเยา ได้ดำเนินการตามแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่หนองเล็งทราย โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ (ฝาย คสล.เดิม) โดยก่อสร้างฝายพับได้ เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มมากขึ้น มีการปรับปรุงและฟื้นฟูร่องน้ำเดิม ให้มีขนาดกว้าง 100 เมตร ยาว 11 กิโลเมตร รวมทั้งฟื้นฟูแก้มลิง พร้อมอาคารประกอบพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงาน หากดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำในหนองเล็งทรายได้กว่า 20 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 10,000 ไร่ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้อีกทางหนี่งด้วย” รมช.ธรรมนัส กล่าว
สำหรับหนองเล็งทราย เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 5,563 ไร่ มีพื้นที่รับน้ำ 200 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีความจุเก็บกักที่ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งอยู่ใจกลางของอำเภอแม่ใจ มีพื้นที่ครอบคลุมมากถึง 5 ตำบล จากทั้งหมด 6 ตำบลของอำเภอแม่ใจ ปัจจุบันหนองเล็งทราย มีสภาพตื้นเขิน สาเหตุเกิดจากตะกอนดินที่ไหลมาจากลำห้วยต่างๆ ไหลลงสู่หนองเล็งทราย ทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้อย่างเต็มศักยภาพในฤดูฝน ประชาชนชาวอำเภอแม่ใจได้ใช้ประโยชน์จากหนองเล็งทราย ให้เป็นแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาเพื่ออุปโภคบริโภค ปีละประมาณ 720,000 ลบ.ม. หรือเฉลี่ยเดือนละประมาณ 60,000 ลบ.ม. และยังมีพื้นที่การเกษตรรอบหนองเล็งทรายอีกประมาณ 10,000 ไร่ ที่ใช้น้ำจากหนองน้ำแห่งนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมี พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองผลการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือของผู้อื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินภาค ๓ , ๔ , ๘ , ๙ และคณะอนุกรรมการประจำคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ได้พิจารณากลั่นกรองตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๗๑ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๒๗,๓๐๐,๖๓๔.๐๑ บาท
สำหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายการริบทรัพย์ เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ และไม่ให้ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด นำมาซึ่งการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ประชาชนจากปัญหายาเสพติด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37435 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์”
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์”
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” โดยมี น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ ห้องนิทรรศการ ชั้น ๒ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และสภาวัฒนธรรมบางขุนเทียน จัดนิทรรศการจิตรกรรมแสดงภาพเขียน สีน้ำมันภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในชุด “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” จำนวน ๕๐ ภาพ ซึ่งเป็นผลงานของอ.กำพล พงษ์พิพัฒน์ ศิลปินอิสระ ที่ได้รับรางวัลจากสถาบันระดับชาติ โดยจะจัดแสดงระหว่างวันที่ ๓ – ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37397 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ แลัะเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37393 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส
++
หลังจากที่รัฐบาลลงนามจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 26 ล้านโดส
เพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ได้เท่าเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในช่วงกลางปีหน้า
.
ประเด็นหนึ่งที่มีผู้ตั้งข้อสงสัย คือในขั้นตอนการนำไปฉีด อาจมีการทุจริตเกิดขึ้นได้เรื่องนี้ยืนยันว่า ตั้งแต่การจัดหา มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ไม่ได้จัดส่งในครั้งเดียว และวางแผนกระจายวัคซีนอย่างรอบคอบ
.
โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่นความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ความรุนแรงต่อชีวิตโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัว
.
จะมีการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนทุกล็อตที่ส่งมอบระบบขนส่งมีลูกโซ่ความเย็น ควบคุมอุณหภูมิมีระบบติดตามตรวจสอบตามหลักสากล (AEFI)เพื่อไม่เกิดผลข้างเคียง
.
และจะกำกับดูแลการบริหารจัดการวัคซีนอย่างเข้มข้นและเป็นระบบเพื่อป้องกันการทุจริตหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37372 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญร่วมกิจกรรมจิตอาสา ถวายพระราชกุศลเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563 | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
เชิญร่วมกิจกรรมจิตอาสา ถวายพระราชกุศลเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้และตลอดเดือน ธ.ค. 63 รัฐบาลขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ และบริการสังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้รักสามัคคี มีจิตสำนึกสาธารณะ มีความเอื้อเฟื้อ รู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ เช่น การทำกิจกรรมขุดลอกคูคลอง เก็บขยะ การเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้ด้อยโอกาส และกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37368 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมีนายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิฯ ด้านสื่อมวลชน ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัว ด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ด้านสื่อสารมวลชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า
ตามที่ คกก.วินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกำหนดไว้
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาหรือสอบราคา พร้อมทั้งให้เสนอราคาในนาม “กิจการร่วมค้า” และสามารถนำผลงานก่อสร้างของผู้เข้าร่วมค้ามาเป็นผลงานก่อสร้างของกิจการร่วมค้าที่เข้าประกวดราคา หรือสอบราคาได้นั้น
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พิจารณาแล้วเห็นว่า ประสบการณ์และศักยภาพในการทำงานของผู้ประกอบการ ตลอดจนการกำหนดสัดส่วนการทำงานของผู้เข้าร่วมค้าหลักที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ จึงได้ยกเลิกหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 289 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2561 และกำหนดแนวทางปฏิบัติใหม่ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับนิยามกิจการร่วมค้า กรณีงานซื้อหรืองานจ้างทุกวงเงิน หรืองานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณน้อยกว่า 1,000,000 บาท และกรณีงานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไป หรือกรณีกิจการร่วมค้าที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในสาขางานก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลางตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการกำหนด ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกิจการร่วมค้าที่มีสิทธิในการเข้ายื่นข้อเสนอ และการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าสอดคล้อกับการรับจดทะเบียนนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้มากขึ้น รายละเอียดตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 581 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2563 เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า
“สำหรับหน่วยงานของรัฐใดได้ดำเนินการนำร่างประกาศและร่างเอกสารเชิญชวนเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หรือเผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวน ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-GP) หรือมีหนังสือเชิญชวนไปแล้วก่อนวันที่แนวทางปฏิบัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยใช้แบบประกาศ แบบเอกสารเชิญชวน และหนังสือเชิญชวนตามแนวทางเดิมต่อไป ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล
แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม พุทธศาสนิกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ พระอุโบสถ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ นอกจากนี้ ยังร่วมกับองค์กรเครือข่าย ๕ ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และ ซิกข์ จัดกิจกรรมทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ณ ศาสนสถานของแต่ละศาสนา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37404 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐" | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐"
รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐"
วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐" ซึ่งมูลนิธิช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ร่วมกับ คณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย คณะคู่สมรสเอกอัครราชทูตและสถานทูตต่างๆประจำประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมหม่อนไหม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบต มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันหลวง โดยมี ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและภริยา นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย อาจารย์ นักศึกษาจากสถาบันต่างๆ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเดินแบบแฟชั่นโชว์ผ้าไทย ร่วมกับนางแบบ นายแบบ คณะทูต และคณะกงสุลกิตติมศักดิ์ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอรองรับ ทั้งที่เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ล่าสุดผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก มี 38 ราย ติดเชื้อในประเทศ 2 ราย
วันนี้ (7 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป พร้อมนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และพลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 มาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 บริเวณพื้นที่ด่านชายแดน และการรักษาผู้ป่วยโควิด 19
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 534,677 ราย
ผู้ติดเชื้อสะสมรวมเป็น 67,385,285 ราย เสียชีวิตรวม 1,541,638 ราย ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ยุโรป และบางประเทศในเอเชีย ประเทศไทยยังควบคุมได้ดี โดยสถานการณ์ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่จำนวน 21 ราย สัญชาติไทย 15 ราย และต่างชาติ 6 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันทั้งหมด คือ เมียนมา 9 ราย สหราชอาณาจักร 4 ราย สหรัฐอเมริกา 2 ราย สิงคโปร์ 2 ราย เอสโตเนีย อินเดีย เยอรมนี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศละ 1 ราย
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา อยู่ในระบบการควบคุมสอบสวนโรครวม 38 ราย โดย 20 รายเข้ามาตามระบบและตรวจพบในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) ลักลอบเข้าประเทศ 16 ราย และมีเพียง 2 รายติดเชื้อในประเทศ คือ ชายอายุ 28 ปี จ.เชียงราย และหญิงอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี เมื่อแบ่งตามรายจังหวัด เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 26 ราย (รายเก่ามี 20 ราย ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมอีก 6 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด รอตรวจสอบและแถลงโดยจังหวัด) กทม. 3 ราย พิจิตร พะเยา ราชบุรี และสิงห์บุรี จังหวัดละ 1 ราย
ส่วนสาเหตุที่ผู้เดินทางกลับมาจากการทำงานในโรงแรม 1G1 จ.ท่าขี้เหล็ก เพราะมีการระบาดของโควิดและทางการปิดสถานบันเทิง ลักษณะสถานบันเทิงครบวงจร เป็นห้องแอร์อากาศปิด มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก ทำให้มีความเสี่ยงในการรับและแพร่เชื้อต่อสูง โดยมีคนไทยไปทำงานหลายร้อยคน เมื่อมีการปิดวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 พบการระบาดในพื้นที่ ทำให้พนักงานคนไทยได้ทยอยเดินทางกลับมา และพบบางคนติดเชื้อ ไม่แสดงอาการ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ความคืบหน้าการสอบสวนการติดเชื้อภายในประเทศของหญิงอายุ 51 ปีจ.สิงห์บุรี นั้น เนื่องจากบนเครื่องบิน ผู้ป่วยรายนี้นั่งห่างจากผู้ป่วย จ.พิจิตร และกทม. 8 แถว มีการใส่หน้ากากจึงไม่น่าเป็นสาเหตุของการรับเชื้อ และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง พบว่าทั้ง 3 รายมีการสวมหน้ากากไม่ถูกต้อง โดยใส่หน้ากากไว้ใต้จมูกและปาก ดังนั้น สถานที่รับเชื้อน่าจะเป็นพื้นที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องซึ่งสนามบินได้ปรับระบบทำความสะอาด และย้ำเตือนผู้โดยสารให้สวมหน้ากากให้ถูกต้อง ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยกทม.และปริมณฑล รับผู้ติดเชื้อได้ 230-400 รายต่อวัน ทั้งประเทศรองรับได้ 1,000-1,700 รายต่อวัน มีเตียงสำหรับดูแลผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะมากกว่า 1 หมื่นเตียง ส่วนเหตุการณ์ชายแดนใน3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงรองรับ 60 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วย 26 ราย ยังรองรับได้ และเตรียมเตียงจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอีก 300 เตียง, จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์มี 51 เตียง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและเอกชนโดยรอบรองรับอีกกว่า 120 เตียง และ อ.แม่สอด จ.ตาก โรงพยาบาลแม่สอด มี 120 เตียง ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้ เช่นเดียวกับยา อุปกรณ์ เวชภัณฑ์หน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ บุคลากรทางการแพทย์ มีความพร้อมทั้งหมด สิ่งสำคัญคือขอให้ผู้ป่วยให้ประวัติที่แท้จริงจะช่วยให้วินิจฉัยรักษาได้รวดเร็ว เนื่องจากการปกปิดทำให้คนรอบข้าง ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยง และตรวจวินิจฉัยรักษาได้ล่าช้า สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 70 ปี ที่โรงพยาบาลแม่สอดยังไม่เสียชีวิต ขณะนี้ยังใส่ท่อหายใจ ให้ยารักษา และรักษาแบบประคับประคอง ทำให้อาการดีขึ้น
พลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กล่าวว่า ศปม.ได้ร่วมกับตำรวจ พลเรือน อาสาสมัคร และฝ่ายปกครอง ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่เมืองหน้าด่าน โดยพื้นที่ชายแดนมีระยะทางยาวมากกว่า 2,400 กิโลเมตร ได้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น ตรวจจับด้วยกล้องวงจรปิด โดรน กล้องยูวีของกองทัพอากาศ การวางเครื่องกีดขวาง เพื่อจำกัดและยับยั้งการลักลอบเข้าผิดกฎหมาย และร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านช่วยสกัดกั้นหรือส่งข่าวแจ้งเบาะแส เพื่อสกัดกั้นทันเวลา และวางจุดตรวจสกัดกั้นตามเส้นทางที่คาดว่าจะลักลอบเข้าเมือง รวมทั้งการตรวจสถานสถานประกอบการ โรงงานต่างๆ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นการลักลอบเข้าเมือง แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1138, 1559 และ 191
*********************************** 7 ธันวาคม 2563
**************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ พร้อมกำชับให้กระทรวงมหาดไทยทำงานร่วมกับทหาร ช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และเร่งระบายน้ำท่วมขัง พร้อมทั้งแจ้งให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค อีกทั้งจัดเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนประชาชน ให้ได้รับรู้ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานผลการช่วยเหลือ และบรรเทาสาธารณภัย ให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกระยะด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37369 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ พาณิชย์ จับมือ ยุติธรรม ลุยระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญายุคใหม่ใช้ "ไกล่เกลี่ยออนไลน์" | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
จุรินทร์ นำ พาณิชย์ จับมือ ยุติธรรม ลุยระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญายุคใหม่ใช้ "ไกล่เกลี่ยออนไลน์"
7 ธันวาคม 2563 เวลา 9.30 น. กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กับ สถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการระงับข้อผิดพลาดด้านทรัพย์สินทางปัญญา
โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานทั้งนี้เป็นความร่วมมือในการพัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ หรือ Online Dispute Resolution ( ODR ) ความร่วมมือนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการในการไกล่เกลียข้อพิพาทและลดจำนวนคดีขึ้นสู่ศาล
โดยนายจุรินทร์ กล่าวให้นโยบายว่า ทรัพย์สินทางปัญญาถือว่ามีความสำคัญมีบทบาทในการพัฒนาการค้าทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมาตลอดโดยต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับในกระบวนการเศรษฐกิจของโลกแต่เกิดการละเมิดขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยไม่สุจริต เกิดข้อพิพาททางทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นมามากขึ้นในเชิงปริมาณโดยต่อเนื่องและมีการนำคดีข้อพิพาทต่างๆขึ้นสู่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ดังนั้นเพื่อไม่ให้คดีทรัพย์สินทางปัญญาเข้าศาลมากโดยไม่จำเป็นกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงได้นำกระบวนการอนุญาโตตุลาการและกระบวนการไกล่เกลี่ยละงับข้อพิพาทมาใช้ ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดผลทำให้การเจรจาตกลงนั้นเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและเป็นที่ยอมรับของผู้พิพาทและเป็นกระบวนการที่เป็นที่ยอมรับของกระบวนการทรัพย์สินทางปัญญาของโลก
กระทรวงพาณิชย์จึงปรับใช้ออนไลน์ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อการลดขั้นตอนใช้เวลาให้สั้นที่สุดสำหรับประชาชนที่มารับบริการจากรัฐ เป็นการตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคสังคมดิจิทัล และที่ผ่านมากรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ รับเรื่องข้อพิพาทของประชาชนทั้งหมด 621 เรื่อง สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการเข้ามาให้บริการแก่ประชาชนสำเร็จ 331 เรื่องคิดเป็น 54% ของข้อพิพาททั้งหมด และนับจากนี้ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการนำระบบออนไลน์มาปรับใช้ในการระงับข้อพิพาททั้งนี้เพื่อปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยทันใจประชาชนมากขึ้น ซึ่งข้อตกลงผ่านระบบออนไลน์จะทำให้ประชาชนได้รับบริการอย่างสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการเผชิญหน้าของคู่กรณี
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ระบบระงับข้อพิพาทออนไลน์เป็นระบบการระงับข้อพิพาทสมัยใหม่ที่ทําให้การระงับ ข้อพิพาทเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทําให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาสามารถเข้าถึงกระบวนการระงับข้อพิพาทได้โดยง่าย สะดวกเพราะสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และยังประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งประหยัดเวลาในการเดินทางอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดีและยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองต่อนโยบาย 4.0 ของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาและการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ด้านธุรกิจการค้าและการลงทุน และเมื่อโลกเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางความคิดในทุกภาคส่วนจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะภาครัฐที่จะมีการนําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ
" ขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่เห็นถึงความสําคัญของระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์ และหวังว่าระบบระงับข้อพิพาทดังกล่าวจะช่วยให้การบริการแก่ประชาชนของกรมทรัพย์สินทางปัญญามีความสะดวก รวดเร็ว มีความทันสมัยและสามารถส่งเสริมให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย เจริญก้าวหน้าต่อไป " นายสมศักดิ์ กล่าว
และรายงานจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ทั้งนี้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้นับแต่เดือน มกราคม 2564 เป็นต้นไปซึ่งนายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบเป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงพาณิชย์ให้แก่ประชาชน โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://thac.go.th และสามารถศึกษาขั้นตอนการดำเนินการได้ที่เว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา www.ipthailand.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด
วันนี้ (7 พ.ย. 63) เวลา 10.00 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ประสบอุทกภัย ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมมอบสิ่งของผู้ประสบอุทกภัย ณ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ได้นำความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงมีความห่วงใยมาถึงทุกคน รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบด้วย วันนี้ ได้นำรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่มาด้วย ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ซึ่งจากสถานการณ์ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 900 มิลลิเมตร เกิดปริมาณน้ำไหลหลากเข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช แม้จะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเองตั้งแต่ต้น แต่ก็ติดตามข้อมูลต่างๆด้วยความห่วงใย และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบกับอุทกภัยในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยเร่งผลักดันน้ำออกให้มากที่สุด
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงห่วงใยประชาชน โดยพระราชทานถุงยังชีพพระราชทานผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 10,000 ชุด และจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง และพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ทุกวันนี้ โลกมีการเปลี่ยนแปลง คนต้องอยู่กับน้ำให้ได้ แต่ต้องไม่ขาดแคลนทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ซึ่งรัฐบาลจึงได้เดินหน้าโครงการต่างๆ เช่น โครงการเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง ที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดี และกำลังจะมีโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ในเดือนมกราคม นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า คาดว่าวัคซีนสำหรับโควิด-19 น่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางปีหน้า ดังนั้น ทุกคนต้องไม่ประมาท ให้ระมัดระวังตนเอง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันยังไม่ใช่การระบาดขนาดใหญ่ หรือ ซุเปอร์สเปรดเดอร์ เพราะสามารถติดตามย้อนกลับไป ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ในไทยอยู่อันดับท้ายๆของโลก ที่สำคัญ คือ คนไทยทุกคนต้องรักกัน รวมทั้งขอให้ยึดมั่นในชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อรวมกันเดินประเทศไทย สู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมประกอบอาหาร ณ โรงครัวพระราชทาน โดยผัดพริกหยวกหมูเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย จากนั้น ได้นั่งเรือเพื่อเยี่ยมบ้านผู้ประสบภัยและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ด้วย และจึงได้ขึ้นรถของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตรวจสอบสภาพน้ำท่วมในพื้นที่ บ้านเนินธัมมัง ซึ่งบางช่วงมีน้ำไหลตัดผ่านถนนในบางช่วง โดยได้กล่าวทักทายประชาชนระหว่างทางโดยตลอดก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37423 |
รัฐบาลไทย-“สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง
รมว.แรงงาน สั่งลุย ให้ กสร.จัดแคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” ให้นายจ้าง-ลูกจ้างได้อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านความปลอดภัยฯ ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 10,000 ที่นั่ง มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2564 ขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ที่เป็นพลัง และทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจัดเตรียมของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องแรงงาน ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้ากับของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” ไว้ดังนี้ 1) การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ฟรี 2) การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร/คลอดบุตร/ฝากครรภ์ 3) การลดอัตราเงินสมทบเหลือร้อยละ 3 ระยะเวลา 3 เดือน 4) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปีแก่แรงงานที่รับงานไปทำที่บ้าน และ 5) ฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ฟรี เพื่อให้พี่น้องแรงงาน ได้รับการคุ้มครอง มีหลักประกันความมั่นคงในการทำงาน เข้าถึงบริการของรัฐ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในชีวิตตลอดไป
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของขวัญจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ขณะนี้ได้ประสานไปยังหน่วยงานฝึกอบรมผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกรม ให้เตรียมการจัดฝึกอบรมในหลักสูตร ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ภายใต้แคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” อาทิ หลักสูตร จป. ในระดับต่างๆ หลักสูตรความปลอดภัยในการทำงานที่อับอากาศ และหลักสูตรฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง ฟรี จำนวน 10,000 ที่นั่ง ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีตอบรับเข้าร่วมแคมเปญแล้ว 190 หน่วยงาน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจขอรับของขวัญปีใหม่ในครั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานทะเบียนความปลอดภัยในการทำงาน กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) โทร. 0 2448 9128-39 เว็บไซต์ http://osh.labour.go.th/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37871 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19
ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น
ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ธนาคารออมสิน ขอแจ้งว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่เป็นญาติมีอาชีพรับจ้างขับรถส่งกุ้งไปยังตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร โดยญาติรายนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจและได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ธนาคารจึงให้พนักงานเข้ารับการตรวจคัดกรองในวันดังกล่าวทันที โดยในวันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ได้รับการยืนยันจากแพทย์โรงพยาบาลนครนายกว่าไม่ติดเชื้อ COVID-19 แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 ธนาคารได้ปิดให้บริการสาขาองครักษ์ เพื่อทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และอบโอโซน ทั่วทั้งพื้นที่อาคารของสาขาและบริเวณโดยรอบ ด้วยมาตรฐานการทำความสะอาดและการป้องกันโรค ตามประกาศของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พร้อมกำชับให้พนักงานภายในสาขาทุกคนปฏิบัติตามระเบียบการให้บริการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารออมสินสาขาองครักษ์ จะเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
ธนาคารออมสิน มีการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในภาวะแพร่กระจายของโรคติดต่ออันตรายนี้ เพื่อร่วมป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด โดยคำนึงถึงสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยของลูกค้า พนักงาน และผู้มาติดต่อธนาคารเป็นสำคัญ.
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr80/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37872 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ 25 จังหวัด จำนวน 2.65 แสนไร่ และความคืบหน้าในการเสนอขออนุมัติงบกลาง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ จำนวน 1.44 พันล้านบาท รวมถึงร่วมกันพิจารณาการยกร่างคู่มือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานตามโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างเร่งด่วนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37881 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย
“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เป็นประธานเปิดงาน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทำกินตามโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั้งยืน ของสถาบันบหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) และคืนโฉนดให้กับสมาชิกเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ของขวัญปีใหม่จากใจ กฟก. โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งที่ได้รับสิทธิในที่ดินแล้ว และที่อยู่ระหว่างขอความช่วยเหลือประมาณ 1,000 คน โดยโอกาสนี้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานกรรมการ บจธ. นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รวมถึงตัวแทนเกษตรกร และชาวบ้านในพื้นที่ให้การต้อนรับและเป็นสักขีพยานในพิธีมอบสิทธิที่ดินทำกิน ณ วิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชา วัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย
ภาพประกอบข่าว : สป.กส.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37879 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย มาจากคัดกรองเชิงรุก 1,273 ราย มาตรวจที่โรงพยาบาล 83 ราย
วันนี้(24 ธันวาคม 2563) เมื่อเวลา 18.00 น. ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรค จ.สมุทรสาคร ว่า จากการติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร พบว่า การควบคุมโรคยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้คือ ไม่มีการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว และไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนออกไปนอกพื้นที่ ผู้ที่ติดเชื้ออยู่ในสถานที่ปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกกักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง ซึ่งกักกันมาประมาณ 6 วันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยจะได้รับการดูแลรักษาที่หน่วยปฐมพยาบาลที่จัดตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 หากมีอาการมากจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาล
“วันนี้ได้ประชุมหารือร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครและทีมในพื้นที่ ออกแบบการบริหารจัดการกลุ่มที่กักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง จะทดสอบตรวจหาภูมิต้านทาน ให้มั่นใจว่าบุคคลกลุ่มนี้มีความปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อแล้ว ถึงหยุดการกักกัน กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่ยังต้องคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง”
สำหรับ จ.สมุทรสาครมีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 96 ราย มาจากการคัดกรองเชิงรุก 89 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาล 7 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 1,356 ราย แบ่งเป็นการคัดกรองเชิงรุกรวม 1,273 ราย (คนไทย 56 ราย ต่างด้าว 1,217 ราย) จากที่คัดกรองแล้ว 12,964 ราย มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว 6,964 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาลรวม 83 ราย ยังคงรักษาอยู่ 73 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37895 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งเน้นยกระดับฝีมือแรงงาน ภายใต้นโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
วันที่ 24 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดพรนครศรีอยุธยา ตรวจเยี่ยมภารกิจของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา (สพร.15 พระนครศรีอยุธยา) มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รวมถึงประชุมติดตามผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา โดยศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีความมุ่งมั่นที่จะ “สร้าง” แรงงานให้มีทักษะใหม่อย่างมีคุณภาพ สามารถไปประกอบอาชีพที่หลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมุ่งเน้น “ยก” ระดับมาตรฐานฝีมือให้มีทักษะที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นตามมาตรฐานฝีมือ รวมถึง “ให้” แรงงานทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางได้มีโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ ทั้งนี้ ได้สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินงานเกิดเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป
รมช.แรงงานกล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจของสพร. 15 พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ช่างเทคนิคการติดตั้งและบำรุงรักษาเซลล์แสงอาทิตย์ และการประกอบอาหารไทย การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขา ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 การประเมินความรู้ความสามารถ ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ระดับ 1 นอกจากนี้ยังได้มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ให้แก่ ศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน I CHEF ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบสาขาผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1 มอบหนังสือการรับรองความรู้ความสามารถแก่ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร และมอบหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานของผู้ประกอบอาชีพ ให้แก่ บริษัท มิตซุย ไฮเทค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งบริษัทได้จัดทำมาตรฐานของตนเอง ในสาขาช่างติดตั้งแม่พิมพ์ปั้มโลหะ ระดับ 1 สำหรับทดสอบความรู้ความสามารถของพนักงานในบริษัท สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างหรือเลื่อนตำแหน่ง หรือเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานแต่ละราย รวมถึงใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานใหม่ได้อีกด้วย
“ขอขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้ปรับเปลี่ยนจากกระทรวงด้านสังคมไปสู่ด้านเศรษฐกิจ และขอฝากให้ สพร.15 พระนครศรีอยุธยา ได้คัดเลือกและพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามความต้องการของพื้นที่และอุตสาหกรรม ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เพื่อให้เกิดแรงงานที่มีคุณภาพต่อไป”รมช. แรงงานกล่าวในตอนท้ายสุด
หลังจากนั้นรมช. แรงงานได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการสัมมนา “เทคนิคการวิเคราะห์อันตรายในงาน (Job Safety Analysis Technique: JSA)” ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ เพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องความปลอดภัยในการทำงาน และวิธีการป้องกันอันตรายจากการทำงานในเชิงป้องกัน ให้สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปขยายผลลงสู่การปฏิบัติได้จริง ผู้เข้าสัมมนาประกอบด้วย สถานประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานทุกระดับ นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป
ศาสตราจารย์ นฤมลได้พบปะ พูดคุยกับผู้เข้าสัมมนาและกล่าวตอนหนึ่งว่า “ ความปลอดภัย เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวเราเองและบุคคลอื่น รวมถึงสาธารณะ ทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมในการป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันและช่วงเวลาในการทำงาน ต้องมีมาตรการป้องกันหรือกำหนดมาตรฐานในการทำงานอย่างเหมาะสม ที่สำคัญที่สุดคือตัวผู้ปฏิบัติงานต้องมีวินัย ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับอย่างเคร่งคัด และหวังว่าการสัมมนาในวันนี้ จะช่วยให้สามารถค้นหาอันตรายที่แฝงมาจากการทำงาน แล้วนำไปสู่การกำหนดมาตรการต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทำให้การทำงานมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน “Safety Thailand”ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เผยข่าวดีต้อนรับปีใหม่ 2564 สำหรับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อปี
หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 5 ชิ้น ที่กระทรวงแรงงานเตรียมไว้มอบให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมกองทุนฯ ร้อยละ 0 ต่อปี นับเป็นของขวัญ 1 ใน 5 จากกระทรวงแรงงานที่มอบให้กับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้ โดยของขวัญทั้ง 5 ชิ้น ประกอบด้วย ชิ้นที่ 1 ลดเงินสมทบให้นายจ้างและผู้ประกันตน ชิ้นที่ 2 เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ชิ้นที่ 3 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมกองทุนรับงานไปทำที่บ้าน ชิ้นที่ 4 อบรมความปลอดภัยในการทำงานฟรี 10,000 คน และ ชิ้นที่ 5 ฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานออนไลน์ฟรี
“นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับแรงงานนอกระบบเป็นอย่างยิ่งและมีความตั้งใจที่จะมอบของขวัญให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม เพราะแรงงานเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ท่านได้กำชับให้ดูแลแรงงานนอกระบบให้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริม คุ้มครอง และ พัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ” รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยว่า ในส่วนของของขวัญจากกรมการจัดหางานนั้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ประกอบกับมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทำให้ขาดเงินทุนที่จะนำไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิต จึงได้พิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯเป็นของขวัญปีใหม่ โดยให้ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2563 – 31 สิงหาคม 2564 และทำสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาท ผู้กู้รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท
“ คุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สำหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน มีผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จำนวน 1,013 ราย/กลุ่ม สมาชิกจำนวน 5,851 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จำนวน 500 ราย/กลุ่ม (29 ราย/471 กลุ่ม) เป็นเงิน 50,566,000 บาท ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางานหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37882 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19
พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19
วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี จากนางสาวชื่นฤทัย วุฒิภัทรปิยชาติ และนายพิศาล ลิขิตกุลผู้บริหารบริษัท เอสซีเวอร์ค จำกัด และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ บริษัท ทูโก จำกัด เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในความดูแลของกระทรวง พม.
นางจตุพร กล่าวว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท เอสซีเวอร์ค จำกัด และบริษัท ทูโก จำกัด ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม Electrolyte ภายใต้ชื่อ ลาซารัส สำหรับทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี ให้กับกระทรวง พม. ซึ่งในวันนี้ จะมีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ครั้งที่ 1 จำนวน 154.90 ลิตร และจะส่งมอบครั้งที่ 2 อีกจำนวน 197.60 ลิตร รวมทั้งสิ้น 352 ลิตร ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะส่งต่อผลิตภัณฑ์ไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ภายใต้สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ภายใต้สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จำนวน 22 แห่งทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37883 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร
รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแรงงานให้ดีตามหลักมนุษยธรรม”
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 63 เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมข้อราชการสำคัญเกี่ยวกับการบริหารการแพร่ระบาดของโรคระบาดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน นายแพทย์ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด และที่ว่าการอำเภอ ทั่วประเทศ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นายอำเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ในขณะนี้ได้เกิดการระบาดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่น ๆ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ได้รายงานให้ได้ทราบนั้น เพื่อเป็นการหยุดยั้งการแพร่ระบาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ ลดการเคลื่อนย้ายคน (Mobility) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการทางสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด สำหรับในส่วนของผู้ติดเชื้อ ต้องดำเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน (quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่าง แม้จะมีเชื้อโรคแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทุกคนจะปลอดภัย และเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน
นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ให้อำนาจแรงงานจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานในทุกจังหวัดเข้าร่วมสนับสนุนการตรวจสอบและทำความเข้าใจสถานประกอบการและแรงงานตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย รวมทั้งวางระเบียบเกี่ยวกับสถานประกอบการให้ถูกต้อง โดยกระทรวงแรงงานจะทำการสำรวจข้อมูลและจัดระบบแรงงานทุกประเภทให้เรียบร้อย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า เนื่องจากขณะนี้ มีผู้ประกอบการและแรงงานบางส่วนเกิดความวิตก และเคลื่อนย้ายแรงงานออกไป ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการในพื้นที่ไม่ต้องตระหนก และให้แรงงานได้ทำงานอยู่ในพื้นที่ต่อไป และขอให้ดูแลแรงงานกลุ่มนี้ให้ดี เพื่อลดปัญหาด้านต่าง ๆ โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานจะพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
จากนั้น เป็นการรายงานการดำเนินงานบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี เชียงราย ตาก และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
สุดท้าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ำว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ดำเนินการตามมาตรการที่ได้มอบนโยบายไว้ โดยในพื้นที่ชายแดน ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจรับผิดชอบตามแนวชายแดน ต้องดำเนินมาตรการสกัดกั้นตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีบุคคลหลบหนีเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ถัดมาในพื้นที่ชั้นใน ให้ตำรวจภูธรจังหวัดกำกับดูแลและตรวจสอบในพื้นที่ และสำหรับในพื้นที่ชุมชนให้ขอความร่วมมือประชาชนในชุมชนช่วยกันดูแลคนในชุมชน ถ้าทุกส่วนช่วยกันอย่างเคร่งครัดก็จะเป็นการสกัดกั้นการแพร่ระบาด รวมทั้งต้องชี้แจงให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37873 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน
ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพิจารณาการขอรับการจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และการขอจัดตั้ง Sub Call Center เพื่อให้บริการตอบข้อซักถามและข้อร้องเรียนของประชาชน โดยผ่านบริการโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center: GCC 1111) ครั้งที่ 7/2563 โดยมีเจ้าหน้าที่และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37893 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว
รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด (จังหวัดอุทัยธานี) ณ ห้องประชุมสะแกกรัง ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี พร้อมรับฟังสรุปปัญหาในแต่ละด้านที่สำคัญ โดยจังหวัดอุทัยธานีให้ความสำคัญกับแนวทางการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ให้เป็นวาระและภารกิจสำคัญของจังหวัด เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว ลดปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายแนวทางการดำเนินงาน ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้ และประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอ พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวจังหวัดอุทัยธานีประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากผ้าไหมจังหวัดอุทัยธานีเป็นที่ต้องการของตลาด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
รมช.มนัญญา กล่าวว่า เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เมื่อปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ จึงเห็นควรให้มีการดำเนินงานติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือ เยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่แต่ละจังหวัดอย่างเป็นระบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37878 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) เวลา 10.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมกันพิจารณาและสรุปแนวทางการจัดทำคำของบประมาณ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37887 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ”
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ”
วันที่ 22 ธันวาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา "จับจังหวะ 4 เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยปี 64 หลังโควิด-19 คลี่คลาย" ประกอบด้วยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง, นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ ห้องบอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นปาฐกถาพิเศษ
สำหรับงานดังกล่าวทาง หนังสือพิมพ์แนวหน้า มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีการไลฟ์สดผ่านทาง website : www.naewna.com : Facebook : นสพ.แนวหน้า บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักเหมือนเช่นทุกปี มีนักธุรกิจ และนักลงทุนให้ความสนใจมาร่วมรับฟังทิศทางเศรษฐกิจอย่างคับคั่งเช่นเดิม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37888 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทำงานเพิ่ม 264 คน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทำงานเพิ่ม 264 คน
อธิบดีกรมการจัดหางาน ส่งแรงงานไทย 264 ชีวิต เดินทางทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” ตามที่ทางการอิสราเอลยื่นความต้องการแรงงานไทย 2,000 คน
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างยิ่ง และมีความยินดีทุกครั้งที่เห็นแรงงานไทยได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ นำรายได้เข้าสู่ประเทศ ทั้งยังเป็นฟันเฟืองที่ขาดไม่ได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทย พบสถานการณ์ยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 การได้เห็นแรงงานไทยยังเป็นที่ต้องการจากนานาประเทศ นับเป็นเรื่องที่ดีมาก
นายสุชาติฯ กล่าวว่า รัฐบาลอิสราเอลยังต้องการแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตร โดยหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ได้แจ้งความต้องการให้จัดส่งแรงงานไปทั้งสิ้น 2,000 คน ซึ่งกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรฯ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จำนวน 1,380 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น
“โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทำงาน ตามข้อกำหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) สำหรับผู้สนใจเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37874 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) เวลา 9.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 เพื่อหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดนมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37889 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำหนดลักษณะงานที่ห้ามนำกลับไปทำที่บ้าน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
กำหนดลักษณะงานที่ห้ามนำกลับไปทำที่บ้าน
วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบกฎหมายกำหนดลักษณะงานที่ห้ามผู้จ้างงาน จ้างผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงาน ประกอบด้วย งานเกี่ยวกับความร้อนจัดอันอาจเป็นอันตราย ซึ่งจะทำให้ระดับความร้อนภายในบ้าน เกิน 34 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นค่าดัชนีวัดสภาพความร้อนในสิ่งแวดล้อมการทำงาน ในเวลาทำงาน 2 ชั่วโมงติดต่อกัน รวมไปถึงงานอื่นที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น งานที่เกี่ยวกับเลื่อยสายพาน ซึ่งมีเสียงดังเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง เกินกว่า 85 เดซิเบล ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทำงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน
นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน
วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยกระดับของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้มข้นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีมาตรการยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2. พื้นที่ควบคุม 3. พื้นที่เฝ้าระวังสูง และ 4. พื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะผ่านการพิจารณาจากผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการสถานศึกษา สถานที่ทำงาน โดยเฉพาะมาตรการการจัดกิจกรรมสาธารณะที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลที่ไม่สามารถจำกัดจำนวนได้ อย่างไรก็ตามการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่กรมควบคุมโรคได้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสถานประกอบการค้าสัตว์น้ำ และในบางพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศด้วย ในระยะนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแรงงานต่างด้าวว่า วันนี้แรงงานต่างด้าวควรอยู่ในพื้นที่เพื่อแยกให้ชัดเจนระหว่างผู้มีความเสี่ยงมากกับผู้ที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะมีการพิจารณามาตรการในการให้แรงงานต่างด้าวทำงานได้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากตอนนี้ผู้ประกอบการยังต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก โดยจะยังไม่มีการลงโทษแรงงานที่ผิดกฎหมายแต่จะต้องตรวจสอบและขึ้นบัญชีให้เรียบร้อย เพื่อให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบตามความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง โดยเน้นผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้มอบอำนาจลงไปแล้วให้เน้นดูแลพื้นที่รวมทั้งปราบปรามการทุจริต
นายกรัฐมนตรียืนยันว่าโรคโควิด-19 สามารถรักษาได้ ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมดูแลคนในประเทศทั้ง 70 ล้านคน ทั้งนี้ สาธารณสุขมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ มั่นใจทุกคนให้ความร่วมมือตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ” โดยในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังกล่าวผ่านการแถลงข่าวว่า “คนไทยทั้งประเทศ ลุงตู่ห่วงใย” ด้วย
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37886 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ในสุกร | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
ผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ในสุกร
ผู้เลี้ยงสุกรไทย จัดงานขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมกันผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ในสุกร ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกสุกรไทยแบบก้าวกระโดด
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนรัฐบาลกล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจต่อผู้ปฏิบัติงานป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในสุกร ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล ที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจัดขึ้นเพื่อขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด และสามารถสร้างการส่งออกสุกรไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งสุกรขุน สุกรพันธุ์ และสุกรแปรรูป ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเกษตรแขนงหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทย มีความแน่นอนของผลผลิต เกิดการสร้างอุปสงค์ให้กับห่วงโซ่ต่อเนื่องในกลุ่มของผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นพืชอาหารสัตว์ของไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ผลพลอยได้จากข้าว เช่น ปลายข้าว รำข้าว ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเป็นอาหารโปรตีนหลักของคนในชาติ อุตสาหกรรมสุกรยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมแล้วกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ภาคเกษตรปศุสัตว์จึงถือเป็นหนึ่งของภาคเกษตรที่มีรากฐานของประเทศและมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันภาคการเลี้ยงสุกรของไทยมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษามากยิ่งขึ้น
สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการผลิตและการควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน และตรงตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงมุ่งพัฒนาภาคปศุสัตว์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และเกษตรกร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นให้เกิดการปรับตัว เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรและภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
"รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการทุกกลุ่ม จึงอยากให้มีการพูดคุยและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องมีความเข้มแข็ง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปให้ได้ และในวันนี้ทุกภาคส่วนต้องมาทำงานร่วมกัน ทุกฝ่ายต้องลดความเห็นแก่ตัว ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ต้องมีความร่วมมือกัน เพื่อผ่านวิกฤตทั้งโรค ASF และโควิด-19 ไปให้ได้ จึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรค ASF ในประเทศไทยได้ และที่สำคัญยังเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมดูแลพี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่ม และพร้อมเดินเคียงข้างกับพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร จึงมั่นใจว่าในระยะยาว อนาคตของสุกรไทยจะดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน" นายเฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37891 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ”
กระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” คือ อสม.หมอประจำตัว หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” ลดความแออัดโรงพยาบาล
พร้อมจัดคาราวาน 3 หมอเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนำตัวให้รู้จักชื่อ เบอร์โทร และช่องทางติดต่อเป็นครั้งแรก มีความพร้อมแล้วกว่า 5.3 ล้านครอบครัว
วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะผู้บริหาร ร่วมแถลงข่าวส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” พร้อมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “3 หมอ 3 มอบ” สู่ประชาชน โดยการถ่ายทอดสดไปยังทุกจังหวัดและจากพื้นที่มายังบริเวณงานผ่านระบบออนไลน์
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เข้มแข็งและเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพแบบชีวิตวิถีใหม่ และต่อยอดการดำเนินงานด้วยนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน” ประสานการทำงานดูแลประชาชนที่บ้านและชุมชนแบบ “ใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” เพิ่มความครอบคลุมให้ได้รับบริการต่อเนื่อง ลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และส่งต่อรักษาในโรคซับซ้อนยุ่งยาก โดยหมอคนที่ 1 หมอประจำบ้าน คือ อสม.เป็นหมอใกล้ตัว แนะนำดูแลผู้ป่วยถึงบ้านและสุขภาพของคนในชุมชน 1 คนดูแลประชาชน 10-20 หลังคาเรือน หมอคนที่ 2 หมอสาธารณสุข คือ บุคลากรในสถานบริการปฐมภูมิ ให้การรักษาและส่งต่อ รวมถึงดูแลสุขภาพให้คำแนะนำประชาชนในทุกมิติ 1 คนดูแลประชาชน 1,250 – 2,500 คน และหมอคนที่ 3 หมอครอบครัว คือ แพทย์ในโรงพยาบาล รับการส่งต่อ 1 คนดูแลประชาชน 8,000 – 12,000 คน โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนรู้รายชื่อหมอประจำตัว 3 คนของตนเอง
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งมอบของขวัญปีใหม่ "คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน" ให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน 3 หมอ 3 มอบ ได้แก่ 1.มอบบัตรแนะนำตัว 3 หมอ ให้แก่ทุกครัวเรือน โดยในบัตรจะมีชื่อ ชื่อเล่น หมายเลขโทรศัพท์ทั้ง 3 คน ทั้งรูปแบบ E-Card โปสการ์ด โปสเตอร์ หรือชุดบัตรแนะนำตัว 3 หมอ พร้อมความรู้ ตารางนัดหมายและบันทึกสุขภาพ 2. มอบการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียงถึงที่บ้าน พร้อมชุดของขวัญปีใหม่ 2564 และ 3. มอบคำแนะนำ ปรึกษา รักษา ประสานงาน และส่งต่อ ซึ่งจะใช้แอปพลิเคชันในระบบให้คำแนะนำ ปรึกษา คือ แอปพลิเคชัน 3 หมอ รู้จักคุณ และแอปพลิเคชัน คุยกับหมอ รวมทั้งให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ จัดทำ Line official : @Ganja Chatbot กัญชาแชตบอท ใช้ปัญญาประดิษฐ์ตอบคำถามเรื่องกัญชาทางการแพทย์แผนไทยแบบอัตโนมัติกว่า 100 เรื่อง และมีทีม 3 หมอช่วยตอบคำถามที่ไม่มีอยู่ในระบบแชตบอท เพิ่มช่องทางการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์แผนไทยที่เชื่อถือได้จากบุคลากรทางการแพทย์แผนไทย
“การมอบของขวัญปีใหม่ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่คนไทยทุกครอบครัว จะได้ทราบชื่อ เบอร์โทร และช่องทางให้คำปรึกษาจากหมอประจำตัว 3 คนของตนเอง ทุกพื้นที่ได้มีระบบการมอบหมายหมอประจำตัว 3 คนของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลระบบ 3 หมอเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 มีครอบครัวที่มีชื่อหมอประจำตัว 3 คนแล้ว 5,309,237 ครอบครัว โดยวันนี้มีการปล่อยคาราวาน 3 หมอไปยังทุกจังหวัด ไปเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนำตัว ทำความรู้จัก และส่งมอบชุดของขวัญปีใหม่แก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง” นายอนุทิน กล่าว
************************************* 24 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37894 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยกำหนดมาตรการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ตั้งเป้าลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุในระดับจังหวัดและอำเภอที่มีความเสี่ยงสูงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ การช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ และด้านการบริหารจัดการให้เป็นตามแผน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเดินทางไป – กลับ ภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัยและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ อย่างมีความสุข
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37876 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำ “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ | วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563
โฆษก ศบค. ย้ำ “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ
โฆษก ศบค. ย้ำ “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็กและปีใหม่จัดได้ พิจารณาจากสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ
วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 12.15 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยืนยันไม่มีการพิจารณาล็อคดาวน์ในที่ประชุม พร้อมแบ่งพื้นที่ตามสถานการณ์ 4 พื้นที่ 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2) พื้นที่ควบคุม 3) พื้นที่เฝ้าระวัง และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง
โฆษก ศบค. กล่าวรายละเอียด 4 พื้นที่ แบ่งเป็น 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากและมีมากกว่า 1 พื้นที่ (ย่อย) จะต้องเร่งรัดการตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มบุคคลที่เสี่ยง และกิจกรรม/กิจกรรมที่เสี่ยง แยกกักผู้ติดเชื้อด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ตามขีดความสามารถ โดยมอบกระทรวงกลาโหมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข พร้อมพิจารณาเยียวยาและดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ติดเชื้อ ย้ำทุกคนสวมหน้ากากอนามัย 100% เน้นการทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัส หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก การติดตั้ง Application หมอชนะ เพิ่มเติมจากการใช้ Application ไทยชนะ การเปิด – ปิดสถานประกอบการที่มีความจำเป็น ห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายเข้า – ออกจากพื้นที่เด็ดขาด ควบคุมการเข้า - ออกยานพาหนะและบุคคลคนไทย โดยไม่ให้กระทบต่อการค้าและการอุตสาหกรรมมากเกินความจำเป็น ให้มีการจัดตั้งด่านตรวจคนคัดกรอง จุดสกัด และสายตรวจ เพื่อให้มีการควบคุมและจำกัดการเข้า – ออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มาตรการ Work From Home อย่างเต็มขีดความสามารถ อีกทั้ง สถานศึกษาปรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก 2) พื้นที่ควบคุม พื้นที่ที่ติดกับพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 10 ราย และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว งดจัดกิจกรรมสาธารณะ ยกเว้นกิจกรรมที่จำกัดจำนวนคน หรือกิจกรรมสำหรับคนรู้จักคุ้นเคย ไม่ใช่กรณีที่มีคนจำนวนหลายร้อยคน 3) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อไม่เกิน 10 ราย แต่มีแนวโน้มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ และยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีผู้ติดเชื้อ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งพื้นที่เพื่อออกมาตรการต่าง ๆ
ทั้งนี้ สถานประกอบการยังเปิดดำเนินการได้ การประมงสามารถดำเนินการได้แต่ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนการออกเรือ ทั้งนี้ ในส่วนของอาหารที่นำขึ้นมาจากทะเลต้องมีการตรวจหาเชื้อ โดยให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขสร้างความมั่นใจตรวจหาเชื้อในสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยมั่นใจบริโภคและการส่งออกของประเทศอีกด้วย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอำนาจใช้ข้อกำหนด ข้อพิจารณาออกมาตรการต่าง ๆ ออกมา
นายกรัฐมนตรีได้มอบให้โฆษก ศบค. เป็นผู้แถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์โควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนรับทราบทุกวัน โดยจะเป็นชุดข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือ update แถลงอย่างเป็นทางการให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบต่อไปในเวลา 11.30 น. ทุกวัน จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนติดตามรับฟังข้อมูลจากการแถลงดังกล่าวเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริงไปในทิศทางเดียวกัน ป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน
สำหรับการจัดกิจกรรมในช่วงปีใหม่นั้น สามารถจัดกิจกรรมปีใหม่ได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุด งดการจัดกิจรรมฉลองทุกชนิด เว้นแต่การจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ พื้นที่ควบคุม งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะแต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่จำกัดผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือกิจกรรมที่มีเฉพาะผู้ที่รู้จักคุ้นเคยได้ (เช่น เพื่อนคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน จำนวนไม่มาก) หรือพิจารณาจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังนั้น สามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ลดขนาดงานให้เล็กลงมีมาตรการลดความหนาแน่นของผู้ร่วมกิจกรรม และมีมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดความคับคั่ง ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ยืนยันว่าการจัดกิจกรรมวันเด็กและปีใหม่สามารถทำได้โดยพิจารณาตามสถานการณ์และสถานะ ณ วันนั้นของแต่ละพื้นที่ประกอบด้วย
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในไทยวันนี้พบผู้ป่วยใหม่ 67 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 58 ราย โดย 1 ราย เป็นหญิงชาวกัมพูชา เดินทางมาจากกัมพูชาตามเส้นทางธรรมชาติแล้วไม่เข้าสถานที่กักกัน 8 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ส่วนรายที่ 10 – 67 เป็นผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร และเดินทางไปหลายจังหวัด ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงขณะนี้มีจำนวนรวม 1,273 ราย ขณะที่ สถานการณ์โควิด-19 โลก มีผู้ป่วยรวม 79 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 1.7 ล้านคน โดยเมียนมามีผู้ป่วยใหม่ 923 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 143
ศปม. โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รายงานพื้นที่ควบคุมสูงสุดของจังหวัดสมุทรสาคร มี 20 ไร่ มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 4,000 คน เป็นต่างด้าว 3,800 คน คนไทย 200 คน มีการวางลวดหนาม ติดตั้งไฟส่องสว่าง มีรถชุดเคลื่อนที่ตรวจภายใน 6 จุดลาดตระเวนโดยรอบ พร้อมชุดตรวจร่วมเพื่อบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ใน 7 พื้นที่ ตั้งจุดตรวจร่วม 12 จุดเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวออกนอกจังหวัดทั้งทางบกและทางทะเล นอกจากนี้ พื้นที่รอบนอกจังหวัดสมุทรสาคร ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ตั้งชุดตรวจร่วม 13 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดโดยรอบเพื่อควบคุมการเดินทางออกจากสมุทรสาคร รวมทั้งมีการยกระดับเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน บริเวณแนวชายแดนตลอด 24 ชม. ที่จังหวัดกาญจนบุรี 3 จุด ตาก 8 จุด เชียงราย 24 จุด ระนอง 15 จุด สงขลา 5 จุด รวม 55 จุด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือชาวต่างประเทศที่อยู่โดยรอบประเทศไทย ขอให้อยู่ในที่ตั้ง ไม่ต้องเดินทางเข้ามาในขณะนี้
โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ตอบคำถามต่อสื่อมวลชนกรณีการจัดงานฉลองวันปีใหม่ พ.ศ. 2564 ว่า ขอความร่วมมือให้งดจัดงานฉลองในพื้นที่ควบคุมสูงสุด สำหรับพื้นที่ควบคุมและพื้นที่อื่น ๆ ให้พิจารณาจัดงานฉลองกันในเครือญาติ หรือในลักษณะพบปะกันภายในครอบครัวในที่อยู่อาศัย และขอความร่วมมือผู้จัดงานฉลองปีใหม่ให้หลีกเลี่ยงการจัดงาน เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าคนที่ร่วมงานเดินทางมาจากไหนบ้าง หรือจะมีผู้เข้าร่วมงานกี่คน
สำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากจังหวัดสมุทรสาคร โดยรัฐบาลให้ความสำคัญในการดูแลประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยผู้ที่จะเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั้นต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามที่สาธารณสุขกำหนด อาทิ สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยง มีอาการเจ็บป่วย เป็นโรคปอดอักเสบ หรือสามารถใช้สิทธิตามสิทธิบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิข้าราชการ หรือ สิทธิประกันสังคม รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในฐานะคนทำงาน หากนายจ้างสามารถยืนยันการสัมผัสกลุ่มเสี่ยง หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงก็สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่าจะดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยืนยัน ขณะนี้ มีจังหวัดสมุทรสาครเพียงจังหวัดเดียวที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประชาชนยังเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือหลังจากนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามการประกาศเพิ่มเติมของแต่ละพื้นที่เป็นระยะ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และเว้นระยะห่าง
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37885 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ปี 2564 ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ของขวัญปีใหม่ปี 2564 ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ปี 2564 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ และลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ปี 2564 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ และลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารออมสิน
1) มอบเงินจำนวน 500 บาท ให้กับลูกค้าที่มีประวัติการส่งชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 3 ปี ไม่มีประวัติการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือเป็นหนี้ NPLs โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 – มกราคม 2564
2) เพิ่มรางวัลพิเศษของสลากออมสิน Digital “ฉลองปีใหม่ 2564” จำนวน 20 รางวัล รางวัลละ 1 ล้านบาท รวม 20 ล้านบาท สำหรับการออกรางวัลในเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2564
2. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
1) โครงการชำระดีมีคืน สำหรับหนี้เงินกู้จัดชั้นปกติ โดยการโอนคืนดอกเบี้ยเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากให้แก่ (1) ลูกค้าเกษตรกรและบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง รายละไม่เกิน 5,000 บาท และ (2) ลูกค้ากลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตร สหกรณ์ นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง รายละไม่เกิน 50,000 บาท
2) โครงการลดภาระหนี้ สำหรับหนี้เงินกู้ NPLs หรือมีดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 15 เดือน โดยการคืนดอกเบี้ยให้แก่ (1) ลูกค้าเกษตรกรและบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และ (2) ลูกค้ากลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตร สหกรณ์ นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง
ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564
3. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
1) กลุ่มที่ 1 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ เป็นเงินจำนวน 1,000 บาท สำหรับผู้มีเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีประวัติการชำระดี 48 เดือน และชำระเงินค่างวดผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563
2) กลุ่มที่ 2 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ เป็นเงินจำนวน 500 บาท จำนวนไม่เกิน 100,000 ราย สำหรับลูกค้าที่ไม่เป็นผู้รับสิทธิในกลุ่มที่ 1 มีการสมัครใช้งานแอปพลิเคชัน GHB ALL และผูกบัญชีเงินฝากในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2563 และชำระเงินค่างวดผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563
ทั้งนี้ ธอส. จะดำเนินการโอนเงินตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564
4. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
1) เสริมสภาพคล่อง SMEs ไทย โดยลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดสำหรับโครงการสินเชื่อจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) (2) โครงการสินเชื่อ Smart SMEs และ (3) โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME D Happy แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 - 28 กุมภาพันธ์ 2564
2) โครงการ “จ่ายดี มีเติม” สำหรับลูกค้าเดิมที่มีวงเงินสินเชื่อประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) และมีประวัติชำระหนี้ดีจนถึง 31 ธันวาคม 2563 ธพว. จะเติมทุน เพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมสูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิม ทั้งนี้ เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อเดิมจะต้องไม่เกินวงเงินสูงสุด 15 ล้านบาท
5. โครงการของขวัญปีใหม่ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
1) ช่วยจัดสรรการผ่อนชำระ สำหรับลูกหนี้ค่าประกันชดเชยขออนุมัติประนอมหนี้ครั้งแรก ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 โดยผ่อนชำระค่างวด ปีที่ 1 - 2 มากกว่าร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยประจำเดือน และปีที่ 3 - 5 มากกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยประจำเดือน
2) ช่วยลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้ประกันชดเชยที่มีศักยภาพ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 โดยผ่อนชำระค่างวดไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของดอ กเบี้ยปกติ (ผ่อนชำระภายใน 5 ปี)
3) ช่วยลดค่างวดผ่อนชำระ สำหรับลูกหนี้ค่าประกันชดเชยก่อนฟ้องและหลังฟ้อง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 โดยผ่อนชำระค่างวด ปีที่ 1 - 2 มากกว่าร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยประจำเดือน และปีที่ 3 - 5 มากกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยประจำเดือน
ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564
6. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
1) ด้านสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเวลา 3 เดือน วงเงินสินเชื่อสูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย และสำหรับผู้ประกอบการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 4 ต่อปี สำหรับ 1 ปีแรก วงเงินสินเชื่อสูงสุด 8 ล้านบาทต่อราย
2) ด้านรับประกันการส่งออก สำหรับผู้เอาประกันรายใหม่จำนวน 100 รายแรก จะได้รับฟรี ค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ ธนาคารผู้ซื้อ และผู้ซื้อสินค้า 1 ราย และสำหรับผู้เอาประกันรายเดิม จะได้รับส่วนลดค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ ธนาคารผู้ซื้อ และผู้ซื้อสินค้า 2 ราย เหลือร้อยละ 50
ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564
7. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)
สำหรับลูกค้าที่ขอใช้บริการสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล จะได้รับฟรีค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญาและค่าประเมินหลักประกัน และสำหรับลูกค้าทั่วไป ธอท. จะให้อัตรากำไรพิเศษในช่วงเดือนมกราคม 2564 โดยระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564
8. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2
ภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไปร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันเช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่ง โดยโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 นี้ แบ่งกลุ่มผู้ใช้สิทธิเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย
1) ผู้ได้รับสิทธิเดิมตามโครงการคนละครึ่ง ไม่เกิน 10 ล้านคน จะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนจากรัฐเพิ่มเติมคนละ 500 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินตามสิทธิที่มีอยู่เดิม 3,000 บาท เท่ากับจะมีวงเงินรวม 3,500 บาท สามารถใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564
2) ผู้ลงทะเบียนใหม่ ไม่เกิน 5 ล้านคน จะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนจากรัฐคนละ 3,500 บาท สำหรับใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2564
9. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2
ภาครัฐช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้แก่กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2564
10. การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 กันยายน 2564 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
11. โครงการกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ 10 บาท นิวนอร์มอลพลัสของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ 10 บาท นิวนอร์มอลพลัส ที่ให้ความคุ้มครองทั้งอุบัติเหตุและโรค COVID-19 ในคราวเดียวกัน ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน อัตราเบี้ยประกันภัย 10 บาท/ราย (ผู้ประกอบการสามารถซื้อเพื่อมอบความคุ้มครองให้กับพนักงาน และลูกค้าของตนได้ และสำหรับบุคคลทั่วไปสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป) ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุดถึง 100,000 บาท และคุ้มครองกรณีโรค COVID-19 แบบ “เจอ-จ่าย-จบ” 3,000 บาท ทั้งนี้ สามารถซื้อกรมธรรม์ได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 - 31 มกราคม 2564
12. มาตรการเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงิน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีมาตรการเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงิน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 ดังนี้ (1) มาตรการลดเบี้ยปรับ อัตราร้อยละ 100 สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี (2) มาตรการลดเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีที่มาชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ) (3) มาตรการลดอัตราการคิดเบี้ยปรับจากเดิมอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเหลืออัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และ (4) เพิ่มอัตราการลดเงินต้นจากเดิมร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 กรณีชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว กรณีผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้มาชำระหนี้คืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
13. โครงการของขวัญปีใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
จัดทำไมโครไซต์ Start to Grow (www.sec.or.th/starttogrow) เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่จำเป็นในการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผู้ประกอบการใหม่ (Start-Up) และประชาชนที่สนใจ ซึ่งรวมถึงวิธีการสำรวจความพร้อมและรูปแบบการระดมทุนที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน ขั้นตอนและช่องทางติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการระดมทุน ข่าวสารกิจกรรมการให้ความรู้ และช่องทางการขอรับคำปรึกษาฟรีผ่านคลินิกระดมทุนโดยเปิดใช้งานไมโครไซต์ดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อ 1 ติดต่อธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือ 1115
ข้อ 2 ติดต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555 หรือ 1593
ข้อ 3 ติดต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000
ข้อ 4 ติดต่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือ 1357
ข้อ 5 ติดต่อบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999
ข้อ 6 ติดต่อธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 271 3700
ข้อ 7 ติดต่อธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือ 1302
ข้อ 8 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ข้อ 9 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3514 3513 3697
ข้อ 10 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3512 3509 3529 3525
ข้อ 11 ติดต่อกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. 02 016 4888 กด 9
ข้อ 12 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โทร. 02 515 3999 หรือ 1186
ข้อ 13 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โทร. 02 033 9999 หรือ 1207
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 22 ธันวาคม 2563 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 22 ธันวาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาลค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพที่ให้ผู้จ้างงานจ่าย พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน จากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
12. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
13. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
14. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....
15. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
16. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
17. เรื่อง เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564
18. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงยุติธรรม
19. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
20. เรื่อง รายงานผลการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลโดยการดำเนินธุรกรรมแลกเปลี่ยนพันธบัตร (Bond Switching) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ครั้งที่ 1
21. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2563
22. เรื่อง รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2562
23. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ ของกระทรวงคมนาคม
24. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบจากประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ศึกษากรณีการดำเนินคดีต่อพลเรือนในศาลทหาร การจำกัดเสรีภาพ การแสดงออกและการจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชน
25. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา
26. เรื่อง รายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
27. เรื่อง แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2565 - 2568)
28. เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
29. เรื่อง การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
30. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สำหรับประชาชน ปี 2564
31. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ของกระทรวงแรงงาน ปี 2564
32. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก(บางพลี – สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564
33. เรื่อง ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี 2564 กระทรวงพลังงาน
34. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ ปี 2564 (กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง)
ต่างประเทศ
35. เรื่อง การลงนามหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี
36. เรื่อง บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) ของประเทศไทยสำหรับการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. 2003 รอบที่ 2
37. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
38. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 7 รวมทั้งการประชุมที่เกี่ยวข้อง
แต่งตั้ง
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
41. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
42. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
43. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
44. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (กระทรวงวัฒนธรรม)
45. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
46. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
47. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
48. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์
49. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
50. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
51. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ อว. เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ อว. เสนอ เป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม โดยสร้างกลไกให้ผู้รับทุนหรือนักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐได้ เพื่อให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรือสาธารณประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเฉพาะกับการให้ทุนของหน่วยงานของรัฐที่มีวัตถุประสงค์หรือหน้าที่และอำนาจในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ยกเว้นกรณีการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานรัฐ การวิจัยและนวัตกรรมซึ่งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐให้ทุนโดยใช้เงินรายได้ของตน การวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธยุทโธปกรณ์ การวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติหรือประชาชนชาวไทยโดยรวมหรือจะต้องใช้เป็นพื้นฐานสำคัญของการวิจัยอื่น ซึ่งไม่สมควรให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเป็นของบุคคลใดหรือองค์กรใดเป็นการเฉพาะ และการวิจัยและนวัตกรรมอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
2. กำหนดให้ผู้รับทุนหรือนักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมได้ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ในการบริหารจัดการและการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ การจัดสรรรายได้จากการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ และกลไกของหน่วยงานภาครัฐในการติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม
3. กำหนดหลักเกณฑ์ในการโอนผลงานวิจัยและนวัตกรรมของผู้รับทุน หรือนักวิจัยซึ่งเป็นเจ้าของผลงานให้แก่บุคคลอื่น และกำหนดหน้าที่ของผู้รับโอนผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
4. กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์จะใช้ประโยชน์ในผลงานวิจัยและนวัตกรรม สามารถขออนุญาตใช้ประโยชน์ได้โดยเสนอเงื่อนไขและค่าตอบแทนที่เพียงพอตามพฤติการณ์แห่งกรณี
5. กำหนดให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีในการออกคำสั่ง ให้หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมใด ๆ ที่เกิดจากทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมของรัฐ
6. กำหนดให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัตินี้
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่ สธ. เสนอ
3. ให้ สธ. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ สธ. เสนอว่า
1. ด้วยในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ได้แพร่อย่างรวดเร็วและกว้างขวางไปทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ (Pandemic) ซึ่งประเทศไทยได้ดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และประกาศให้ท้องที่นอกราชอาณาจักรบางท้องที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย รวมทั้งได้มีการอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร และได้ออกข้อกำหนด ประกาศและคำสั่งตามพระราชกำหนดดังกล่าวเพื่อให้ส่วนราชการนำไปดำเนินการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน ซึ่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่สามารถรองรับหรือใช้บังคับกับบางสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หรือโรคติดต่อได้ ทำให้มาตรการทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งหากมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตามข้อ 1. แล้ว ย่อมส่งผลให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่ได้ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ถูกยกเลิกตามไปด้วย ดังนั้น เพื่อให้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 สามารถใช้ดำเนินการในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด 19 หรือโรคติดต่อได้อย่างทันสถานการณ์และมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมทั้งกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ให้แยกกัก หรือกักกันโรค หรือผู้ที่ไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคเมื่อพบว่าตนเป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อ เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้ผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศหลีกเลี่ยงการกักตัวโดยหน่วยงานของรัฐ
3. สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้โดยจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค (www.ddc.moph.go.th) ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2563 และระหว่างวันที่ 4 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 13 กันยายน 2563 และ สธ. ได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย พร้อมทั้งได้เปิดเผยเอกสารดังกล่าวแล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้อธิบดีกรมควบคุมโรคมีอำนาจประกาศท้องที่หรือเมืองท่านอกราชอาณาจักรที่พบผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือฉุกเฉินอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้แพร่เข้ามาในราชอาณาจักร
2. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มา เข้าถึง การเก็บรักษา การนำไปใช้การกำกับดูแล หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด ผู้ที่เป็นผู้สัมผัสโรค หรือผู้ที่เป็นพาหะ
3. กำหนดให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีอำนาจกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่กักกันหรือแยกกักโรค รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวจะมีอำนาจดำเนินการในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข หรือในกรณีที่มีโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดเกิดขึ้น และโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดดังกล่าวได้แพร่อย่างรวดเร็วหรือกว้างขวาง
4. กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด ให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีอำนาจสั่งการหรือมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในพื้นที่ของตน รวมทั้งมีอำนาจสั่งการผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใด ให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด
5. กำหนดเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออกให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
6. กำหนดให้ในกรณีที่มีโรคติดต่ออันตราย โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หรือโรคระบาดเกิดขึ้น ให้ผู้ที่พบว่าตนเป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคดังกล่าวมีหน้าที่แจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
7. กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร มีอำนาจออกคำสั่งห้ามผู้ใดทำกิจกรรมหรือกิจการที่อาจก่อให้การแพร่ของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด รวมทั้งมีอำนาจออกคำสั่งให้เจ้าของผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมสถานประกอบการหรือสถานที่ใด ๆ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด
8. กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด หรือกรณีที่โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดได้แพร่อย่างรวดเร็วหรือกว้างขวาง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจออกประกาศหรือคำสั่งให้ผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใดดำเนินการหรือละเว้นการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
9. กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ดำเนินการตามคำสั่งหรือข้อกำหนดตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ทั้งนี้ สผ. เสนอว่า
1. โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 180 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่กรณีพ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ แต่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 42 (2) บัญญัติให้การแต่งตั้งข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และมาตรา 86 บัญญัติให้การออกจากราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่ออกจากราชการเพราะความตาย ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ กรณีจึงไม่สอดคล้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 180 เนื่องจากเป็นกฎหมายซึ่งตราขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีผลใช้บังคับ จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 ในมาตรา 42 และมาตรา 86 ที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งและการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการรัฐสภาสามัญให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ในคราวประชุม ครั้งที่ 7/2563 วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการข้าราชการรัฐสภากฎหมายและระเบียบ (อ.กร. กฎหมายและระเบียบ) ด้วยแล้ว
3. สผ. ได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผ่านทางเว็บไซต์ www.parliament.go.th ระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2563 และจัดให้มีการส่งความเห็นทางระบบสอบถามและระบบประเมินออนไลน์ของสำนักงานสารสนเทศ รวมทั้งได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเกิดผลกระทบและประโยชน์ ดังนี้
3.1 ผลประโยชน์แก่ประเทศ สังคม และประชาชน ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการให้บริการประชาชน และมิได้เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการแต่งตั้งและการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการรัฐสภาสามัญดังกล่าว จะส่งผลให้ส่วนราชการมีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะช่วยให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ลดปัญหาการตีความข้อกฎหมาย
3.2 ความพร้อมและต้นทุนของรัฐในการปฏิบัติตามและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่มีอัตรากำลังคนที่ต้องใช้เพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่วนราชการต้องดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งและการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการรัฐสภาสามัญอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับขั้นตอนในการดำเนินการหรือเสนอเรื่อง
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 ดังนี้
1. กำหนดให้การบรรจุและแต่งตั้งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ให้ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา แล้วแต่กรณี นำเสนอคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาแล้ว ให้ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
2. กำหนดให้การออกจากราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ดำรงตำแหน่งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันออกจากราชการ เว้นแต่ออกจากราชการเพราะความตาย เกษียณอายุ หรือออกจากราชการเพราะถูกลงโทษ
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้การใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี ถ้ายานยนตร์นั้นจะต้องผ่านสถานที่ที่จัดเก็บค่าธรรมเนียม ผู้ใช้ยานยนตร์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง ณ สถานที่ที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้น โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะออกบัตรไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่าผู้ใช้ยานยนตร์นั้นได้เสียค่าธรรมเนียมแล้ว หรือชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัตรอัตโนมัติหรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกำหนด
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี สรุปได้ดังนี้
1.1 กฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้ผู้ใช้ยานยนตร์ต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยเงินสด
1.2 กฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดเพิ่มวิธีการเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์โดยการชำระเงินผ่านบัตรอัตโนมัติได้อีกวิธีหนึ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกในการชำระค่าธรรมเนียมแก่ประชาชนผู้ใช้ยานยนตร์ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
1.3 กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี พ.ศ. 2558 ออกตามความในมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้ผู้ใช้ยานยนตร์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยเงินสดหรือโดยชำระเงินผ่านบัตรอัตโนมัติ
2. เนื่องจากปริมาณการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีปริมาณจราจรผ่านด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางเฉลี่ยประมาณ 57,000 คันต่อวัน ในปี พ.ศ. 2562 มีปริมาณจราจรมากกว่า 300,000 คันต่อวัน ทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด แออัด บริเวณหน้าด่านเก็บค่าธรรมเนียม กรมทางหลวงได้แก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้เพิ่มจำนวนช่องจราจรและช่องเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง แต่การเพิ่มจำนวนช่องเก็บเงินมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ พื้นที่และการเวนคืนพื้นที่สำหรับการก่อสร้าง ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างขยายช่องเก็บเงินจนเต็มพื้นที่เขตทางเกือบทั้งหมดแล้ว อีกทั้งได้ดำเนินการใช้ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบอัตโนมัติ (Electronic Toll Collection System) แบบมีไม้กั้นเรียกว่าระบบ M-Pass พร้อมทั้งได้เชื่อมต่อระบบ M-Pass เข้ากับระบบ Easy-Pass ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถ (On Board Unit : OBU) ร่วมกัน นอกจากนี้ แม้จะได้ปรับปรุงสภาพทางกายภาพของด่านเก็บค่าธรรมเนียม การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริหารจัดการการจราจรบริเวณหน้าด่านแล้วก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอกับการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดที่หน้าด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง
3. กรมทางหลวงจึงได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาพัฒนาระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัจฉริยะ ผลการศึกษาเทคโนโลยีการจัดเก็บค่าผ่านทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่าความสามารถในการระบายรถของการจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางในรูปแบบต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน ดังนี้
3.1 การจัดเก็บด้วยเงินสด (Manual Toll Collection System : MTC) ระบายรถได้ประมาณ 400 – 550 คัน/ช่อง/ชั่วโมง
3.2 การจัดเก็บแบบอัตโนมัติ (Electronic Toll Collection : ETC) แบบมีไม้กั้น ซึ่งเป็นการชำระเงินผ่านบัตรอัตโนมัติ (M-Pass) ระบายรถได้ประมาณ 800 – 900 คัน/ช่อง/ชั่วโมง
3.3 การจัดเก็บแบบอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นในรูปแบบของช่องทางเดี่ยว (Single Lane Free-Flow : SLFF) ระบายรถได้ประมาณ 1,200 – 1,500 คัน/ช่อง/ชั่วโมง
3.4 การจัดเก็บแบบอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นในรูปแบบหลายช่องทาง (Multi Lane Free-Flow : MLFF) ระบายรถได้มากกว่า 2,000 คัน/ช่อง/ชั่วโมง
4. ที่ปรึกษามีความเห็นว่าแนวทางการพัฒนาระบบเทคโนโลยีในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 แบบไม่มีไม้กั้น ซึ่งมีการปรับใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เป็นแนวทางที่มีความเหมาะสมมากที่สุด โดยอาศัยเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบการอ่านหมายเลขทะเบียนรถอัตโนมัติ (Automatic License Plate Recognition : ALPR) ร่วมกับการตรวจจับยานพาหนะอัตโนมัติ (Automatic Vehicle Identification : AVI) เพื่อใช้ตรวจสอบยานพาหนะและระบุตัวตนผู้ใช้บริการและมีการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางภายหลังการใช้บริการ (Post – Paid) ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถดำเนินการชำระค่าผ่านทางได้ผ่านหลากหลายช่องทางการชำระเงิน เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต การตัดเงินผ่านบัญชีธนาคาร แอปพลิเคชันของธนาคาร และการใช้ QR Code เป็นต้น และเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของกรมทางหลวง ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น จึงใช้ชื่อว่า “ระบบ M – Flow” โดยจะเริ่มดำเนินการนำร่องบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ที่ด่านทับช้าง 1 ด่านทับช้าง 2 ด่านธัญบุรี 1 และด่านธัญบุรี 2 สำหรับรถยนต์ทุกชนิดที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทางหลวงพิเศษ
5. กรมทางหลวงจึงได้ดำเนินโครงการ “งานติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow System Infrastructure)” บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 รวมถึงโครงการ “งานจ้างบริหารจัดการระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M – Flow) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9” โดยว่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบและสนับสนุนการปฏิบัติงานของกรมทางหลวงในด้านเทคนิคสำหรับการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นดังกล่าว ตามแผนจะดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างเพื่อจัดหาและติดตั้งระบบงานต่าง ๆ และเปิดให้บริการระบบ M – Flow ภายในต้นปี พ.ศ. 2564 โดยใช้แหล่งเงินจากทุนหมุนเวียนค่าธรรมเนียมที่กรมทางหลวงจัดเก็บได้ ทั้งนี้ การนำระบบเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (Free Flow) มาใช้ในการจัดเก็บและชำระค่าธรรมเนียมบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 เป็นการเพิ่มวิธีการเสียค่าธรรมเนียมโดยการชำระค่าธรรมเนียมด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแตกต่างจากระบบเก็บค่าธรรมเนียมแบบบัตรอัตโนมัติ M – PASS ตามกฎกระทรวงที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องเสนอขอออกกฎกระทรวงนี้
6. คค. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลัง (คค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ คค. เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ คค. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตประกาศกำหนด สามารถเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตได้ เพื่อรองรับธุรกรรม/นวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นใหม่ (Final Technology) ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นตัวกลางที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อสามารถนำส่งข้อมูลเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และกลุ่มธุรกิจที่ตั้งต้นใหม่ (Start-up) ให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวมีข้อมูลประวัติทางการเงินในระบบ อันจะช่วยให้มีโอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นในอนาคต รวมถึงช่วยลดการกู้ยืมหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่ม Start-up ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ เพราะไม่มีประวัติการขอสินเชื่อในฐานข้อมูลของระบบข้อมูลเครดิต
โดย คค. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ข้อมูลเครดิต” และบทนิยามคำว่า “สมาชิก” และเพิ่มบทนิยามคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อ”
2. แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการและข้อห้ามในการเปิดเผยข้อมูลแก่สมาชิกหรือผู้ใช้บริการ ดังนี้
2.1 กำหนดให้บริษัทข้อมูลเครดิตแจ้งเป็นหนังสือแก่เจ้าของข้อมูลทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันเปิดเผยหรือให้ข้อมูล เว้นแต่เป็นข้อมูลโดยรวมของสมาชิกผู้หนึ่งผู้ใด (สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อที่บริษัทข้อมูลเครดิตรับเข้าเป็นสมาชิก) ให้แจ้งแก่สมาชิกผู้นั้นทราบ
2.2 ห้ามมิให้บุคคลดังต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูล
(1) บริษัทข้อมูลเครดิต ผู้ควบคุมข้อมูล ผู้ประมวลผลข้อมูล สมาชิก หรือผู้ใช้บริการ
(2) ผู้ซึ่งรู้ข้อมูลจากการทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ตาม (1)
(3) ผู้ซึ่งรู้ข้อมูลจากบุคคลตาม (1) และ (2)
3. กำหนดหน้าที่ของผู้ใช้บริการในการใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด เช่น การใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อ การออกบัตรเครดิต การนำข้อมูลของลูกค้ามาจัดทำแบบจำลองด้านเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อ และต้องไม่เปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้อื่นที่ไม่มีสิทธิรับรู้ข้อมูล
4. กำหนดสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อไว้เป็นการเฉพาะ ดังนี้
4.1 กำหนดให้บริษัทข้อมูลเครดิตเปิดเผยหรือให้ข้อมูลแก่สมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อได้เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อแทนผู้จะให้สินเชื่อเท่านั้น
4.2 กำหนดให้สมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อนำข้อมูลของลูกค้าของตนที่ได้รับจากบริษัทข้อมูลเครดิตมาใช้จัดทำแบบจำลองด้านเครดิตได้
4.3 กำหนดให้สมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อต้องแสดงเหตุผลในการปฏิเสธการให้บริการหรือการขึ้นค่าบริการโดยเหตุอันเนื่องมาจากการได้รับรู้ข้อมูลของลูกค้าผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าว ให้ลูกค้ารายนั้นทราบเป็นหนังสือ
5. แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษให้สอดคล้องกับการกำหนดหลักเกณฑ์ให้สมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อถือปฏิบัติ ดังนี้
5.1 กำหนดโทษสำหรับสมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อ หากนำข้อมูลของลูกค้าไปใช้ในกรณีจัดทำแบบจำลองด้านเครดิตที่นอกเหนือจากเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อแทนผู้ที่จะให้สินเชื่อ และการบริหารความเสี่ยงในกิจการของผู้ที่จะให้สินเชื่อ
5.2 กำหนดโทษสำหรับสถาบันการเงิน สมาชิก หรือผู้ใช้บริการ หากไม่แสดงเหตุผลในการปฏิเสธการให้บริการหรือการขึ้นค่าบริการโดยเหตุอันเนื่องมาจากการได้รับรู้ข้อมูลของลูกค้าผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าว ให้ลูกค้ารายนั้นทราบเป็นหนังสือ
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้ คค. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. สืบเนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อและตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2555 เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท สป. 2003 กับทางหลวงชนบท ฉช. 3001 ประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 มีกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับ 4 ปี (ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559) ได้สิ้นผลการบังคับใช้แล้ว ทำให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาใช้บังคับได้ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนต้องดำเนินโครงการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) จึงได้ชะลอการดำเนินโครงการไว้ก่อน ซึ่งปัจจุบันกรมทางหลวงชนบทมีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท สป. 2003 กับทางหลวงชนบท ฉช. 3001
2. ต่อมากรมทางหลวงชนบทได้รับงบประมาณในการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ภายหลังจากพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 1. สิ้นผลใช้บังคับแล้ว จึงได้สำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท สป. 2003 กับทางหลวงชนบท ฉช. 3001 เพื่อรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายถนนโลจิสติกส์ และการขนส่งในพื้นที่เพื่อให้สอดรับกับสนามบินสุวรรณภูมิ ประกอบกับพื้นที่สองข้างทางของถนนดังกล่าวมีการพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาขนาดใหญ่ มีหอพักจำนวนมาก และมีหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงต้องมีการพัฒนาโครงข่ายถนนที่มีอยู่แล้วให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
3. กรมทางหลวงชนบทมีความจำเป็นจะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้การสร้างทางหลวงชนบทตามโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ และเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งทางบกอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค รวมทั้งเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
4. กรมทางหลวงชนบทได้ศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 816.19 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 17.51 % อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 1.52 ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ และหากพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกี่ยวกับการรองรับการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต โครงการก็จะมีความเหมาะสมมากขึ้นอีก
5. ลักษณะของโครงการ เป็นการก่อสร้างถนนสร้างใหม่ ขนาด 4 ช่องจราจร ชนิดผิวจราจรแอสฟัลติกคอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.00 – 3.00 เมตร พร้อมเกาะกลาง รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 4.864 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ122 ไร่ มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมณ 65 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 2,625 ล้านบาท
แผนการดำเนินการ มีดังนี้ (1) กำหนดราคาและจ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2565 - 2566 และ (2) เริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2567 - 2569ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนพ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมมีผู้เห็นด้วยกับโครงการ ร้อยละ 68.97 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณแจ้งว่า จะจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท สป. 2003 กับทางหลวงชนบท ฉช. 3001 มีส่วนแคบที่สุด 200 เมตร และส่วนกว้างที่สุด 1,600 เมตร
7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ อว. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ในระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้น และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ในระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้น
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพที่ให้ผู้จ้างงานจ่าย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพที่ให้ผู้จ้างงานจ่าย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553 มาตรา 4 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกอบกับมาตรา 24 บัญญัติให้ผู้จ้างงานเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพ ในกรณีที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการใช้วัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือสิ่งอื่นที่ใช้ในการทำงานที่ผู้จ้างงานจัดหาหรือส่งมอบให้ หรือเนื่องจากผู้จ้างงานไม่จัดให้มีอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยในการทำงาน หรือกรณีอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน ณ สถานที่ทำงาน ทั้งนี้ การจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง รง. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพ ที่ให้ผู้จ้างงานจ่าย พ.ศ. .... เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ และผู้รับงานไปทำที่บ้านมีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและเป็นธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้รับความคุ้มครองและมีสวัสดิการการรักษาพยาบาล รวมทั้งเป็นการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
2. ในคราวประชุมคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ และค่าทำศพที่ให้ผู้จ้างงานจ่าย พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ทายาท ผู้จัดการศพ หรือผู้มีส่วนได้เสียแจ้งให้ผู้จ้างงานทราบโดยเร็ว เมื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย พร้อมทั้งแสดงเอกสารในแต่ละกรณี
2. กำหนดให้ผู้จ้างงานจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้รับงานไปทำที่บ้านประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ต่อการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย 1 ครั้ง
3. กำหนดให้ผู้จ้างงานจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานกรณีผู้รับงานไปทำที่บ้านประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย และจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน ภายหลังการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
4. กำหนดให้ผู้จ้างงานจ่ายค่าทำศพในอัตรา 40,000 บาท กรณีผู้รับงานไปทำที่บ้านประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย
5. กำหนดให้ผู้จ้างงานจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ หรือค่าทำศพ แล้วแต่กรณีโดยมิชักช้า นับแต่ได้รับแจ้งเหตุดังกล่าว
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ กษ. เสนอ เป็นการกำหนดให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.) ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้ อันจะทำให้การบังคับทางปกครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ สวพส. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน จากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน จากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ รง. เสนอ เป็นการกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยสำหรับการทำงานในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน จากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างในสถานที่ดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยาม คำว่า “ทำงานในที่สูง” “นั่งร้าน” และ “อาคาร”
2. กำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีข้อบังคับและขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยในการทำงานในที่สูง ที่ลาดชัน ที่อาจมีการกระเด็น ตกหล่น หรือพังทลายของวัสดุสิ่งของ และที่อาจทำให้ลูกจ้างพลัดตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรับวัสดุ โดยอย่างน้อยต้องระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน การวางแผนการปฏิบัติงาน และการป้องกันและควบคุมอันตราย รวมทั้งต้องอบรมหรือชี้แจงให้ลูกจ้างทราบก่อนเริ่มปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ลูกจ้างปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และต้องมีสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
3. กำหนดให้ในการประกอบ การติดตั้ง การตรวจสอบ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายให้นายจ้างปฏิบัติตามรายละเอียดคุณลักษณะ และคู่มือการใช้งานที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ นายจ้างต้องจัดให้มีอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย และจัดให้มีการบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันอันตราย
4. กำหนดให้ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่สูง นายจ้างต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน เช่น จัดให้มีนั่งร้าน กรณีที่ลูกจ้างทำงานในที่สูงตั้งแต่สี่เมตรขึ้นไป ต้องจัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตก ตาข่ายนิรภัย หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นใด กรณีที่ลูกจ้างทำงานในที่สูงเกินหกเมตรขึ้นไปต้องใช้บันไดไต่ชนิดตรึงกับที่ที่มีความสูงเกินหกเมตรขึ้นไปต้องดูแลบันไดไต่ชนิดติดตรึงกับที่ เป็นต้น
5. กำหนดให้กรณีที่มีการลำเลียงวัสดุสิ่งของขึ้นหรือลงจากที่สูง นายจ้างต้องจัดให้มีราง ปล่อง เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการลำเลียง เพื่อป้องกันอันตรายจากวัสดุสิ่งของกระเด็นหรือตกหล่น และต้องกำหนดเขตอันตรายในบริเวณพื้นที่ โดยติดป้ายเตือนบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
6. กำหนดให้ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานในบริเวณหรือสถานที่มีลักษณะที่อาจพลัดตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ เช่น ถัง บ่อ กรวย และบนภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุที่มีความสูงตั้งแต่สี่เมตรขึ้นไป นายจ้างต้องจัดให้มีสิ่งปิดกั้นที่มั่นคงแข็งแรง จัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตกที่มั่นคงแข็งแรงล้อมรอบภาชนะที่อาจทำให้ลูกจ้างพลัดตกลงไปได้ และต้องให้ลูกจ้างสวมใส่เข็มขัดนิรภัยและเชือกนิรภัย หรือสายช่วยชีวิตตลอดระยะเวลาการทำงานด้วย
11. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. ตามที่พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2560 ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1.1 แก้ไขบทนิยามคำว่า “ข้าราชการ” โดยตัด “ข้าราชการฝ่ายตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ และข้าราชการฝ่ายอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ” ออกจากบทนิยาม
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเดินทางโดยพาหนะรับจ้างและพาหนะส่วนตัว
1.3 กำหนดชั้นโดยสารเครื่องบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. กค. พิจารณาแล้ว เพื่อให้การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 มีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามพระราชกฤษฎีกาในข้อ 1. จึงดำเนินการยกร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
จึงได้เสนอร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้ปลัดกระทรวงหรือตำแหน่งที่เทียบเท่าสามารถอนุมัติระยะเวลาในการเดินทางไปราชการก่อนเริ่มปฏิบัติราชการหรือหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ ในกรณีผู้เดินทางมีความจำเป็นต้องเดินทางเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด
2. กำหนดให้การเดินทางไปราชการในท้องที่ที่มีค่าครองชีพสูงหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้หัวหน้าส่วนราชการใช้ดุลพินิจอนุมัติเบิกจ่ายค่าที่พักสูงกว่าอัตราที่ระเบียบกำหนด เพิ่มขึ้นอีกไม่เกินร้อยละ 25 เฉพาะการเบิกค่าเช่าที่พักแบบจ่ายจริง
3. กำหนดให้การเดินทางไปราชการให้ใช้ยานพาหนะประจำทาง และให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยประหยัด ไม่เกินสิทธิที่ผู้เดินทางจะพึงได้รับตามประเภทของพาหนะที่ใช้เดินทาง โดยให้เบิกค่าพาหนะได้ไม่เกินอัตราตามเส้นทางที่ได้รับอนุมัติให้เดินทางไปราชการ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางในเส้นทางอื่น
4. กำหนดผู้เดินทางที่สามารถเบิกเงินค่ารับรองได้เท่าที่จ่ายจริง (ยกเลิกสิทธิในการเบิกค่ารับรองในการเดินทางไปราชการของผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา หรือประธานศาลอุทธรณ์ ออก เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2560)
5. กำหนดค่าโดยสารเครื่องบิน กรณีผู้ให้ความช่วยเหลือไม่ออกค่าโดยสารเครื่องบิน หรือได้รับความช่วยเหลือค่าโดยสารเครื่องบินเพียงเที่ยวเดียว ให้เบิกค่าโดยสารเครื่องบินไป – กลับ หรือค่าโดยสารเครื่องบินอีกหนึ่งเที่ยว ได้ตามสิทธิของผู้เดินทาง หรือกรณีได้รับความช่วยเหลือค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่นั่งต่ำกว่าสิทธิของผู้เดินทาง ให้เบิกค่าโดยสารเครื่องบินสมทบตามสิทธิของผู้เดินทาง
6. กำหนดการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ โดยการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจร่วมกับหัวหน้าคณะผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ และตำแหน่งตามที่กำหนด ต้องไม่เกินสิทธิของหัวหน้าคณะนั้น (ยกเลิกสิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการตุลาการและข้าราชการอัยการ และตัดตำแหน่งระดับ 9 ขึ้นไป ออก เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2560)
7. ยกเลิกความในบัญชีท้ายระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 และกำหนดบัญชีหมายเลขใหม่แทน
12. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
รง. เสนอว่า
1. เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้แรงงานโดยเฉพาะครอบครัวมีรายได้ลดลง หรือไม่มีรายได้ ต้องหยุดงานหรือต้องออกจากงาน ในขณะที่รายจ่ายเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดเป็นรายจ่ายที่จำเป็น ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระของผู้ประกันตนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. 2561 เพื่อจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร โดยจ่ายให้กับผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไปตามมาตรา 39
2. ในคราวประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ครั้งที่ 20/2563 เมื่อวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มประโชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร จากเดิมเหมาจ่ายในอัตรา 600 บาท ต่อเดือนต่อบุตร 1 คน เป็นเหมาจ่ายในอัตรา 800 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน โดยให้ดำเนินการเสนอเพื่อแก้ไขกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. 2561 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 และคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 และได้รับรองมติการประชุมแล้ว
3. รง. ได้ดำเนินการตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยสัดส่วนการใช้จ่ายเงินกองทุนประกันสังคมในกรณีสงเคราะห์บุตร โดยการจัดเก็บเงินสมทบในอัตราร้อยละ 1 (รัฐบาล) ของค่าจ้าง มีการใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 0.62 ยังมีเงินคงเหลือในกองทุนกรณีสงเคราะห์บุตรในอัตราร้อยละ 0.38 การเพิ่มประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.62 ของค่าจ้างเป็นร้อยละ 0.82 ของค่าจ้างในปี พ.ศ. 2564 ทำให้เหลือเงินสำรองสำหรับการจ่ายบำนาญชราภาพลดลงเหลือร้อยละ 0.18 ซึ่งการเพิ่มประโยชน์ทดแทนสงเคราะห์บุตรดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมในส่วนของเงินชราภาพอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การเพิ่มประโยชน์ทดแทนในกรณีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้ประกันตนเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรของผู้ประกันตน ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ประกันตนดีขึ้น และจะทำให้ค่าใช้จ่ายกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคม
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. เพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเป็นเงิน “จากเดิมในอัตรา 600 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน” เป็นในอัตรา “800 บาท ต่อเดือนต่อบุตร 1 คน”
2. กำหนดให้ใช้บังคับสำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
3. ผู้ใดมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. 2561 และยังคงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎกระทรวงนี้ ให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ นับตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
13. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการล่วงหน้าแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
ให้ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 4 มกราคม 2564
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า เนื่องจากวันหยุดราชการประจำปี กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดสิ้นปี และวันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 เป็นวันหยุดขึ้นปีใหม่ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 รวม 4 วัน ดังนั้นจึงคาดหมายได้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา เป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะบริเวณหน้าด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางซึ่งคาดว่าจะมีปัญหาจราจรติดขัดยาวหลายกิโลเมตร เนื่องจากประชาชนรอชำระค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือCovid -19รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ และลดมลพิษทางอากาศ จึงเห็นสมควรให้ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 4 มกราคม 2564
14. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... สาระสำคัญ ดังนี้
1) ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2546 และยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2556
2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 ให้รัฐบาลนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีคลอดบุตร ฝ่ายละร้อยละ 1.05 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนฝ่ายละร้อยละ 1.85 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และรัฐบาลปรับเป็น ร้อยละ 1.45 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในส่วนของนายจ้าง และผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 0.1 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และรัฐบาลปรับเป็น ร้อยละ 0.25 ของค่าจ้างผู้ประกันตนตามบัญชี ก.
3) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยกรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีคลอดบุตร ฝ่ายละร้อยละ 1.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และรัฐบาลร้อยละ 1 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในส่วนของนายจ้าง และผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 0.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และรัฐบาลร้อยละ 0.25 ของค่าจ้างผู้ประกันตน ตามบัญชี ข.
15. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 16/2563 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบให้เพิ่มระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวเป็นระยะเวลา 15 วัน สำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามที่กำหนดในมาตรา 34 (4) (8) และ (9) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวซึ่งได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา ตามข้อ 13 (3) และ (4) แห่งกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ. 2545 และมอบหมายให้ มท. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
มท. พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ทั้งประเภทที่ต้องได้รับการตรวจลงตราจากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลและประเภทที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตรา ซึ่งมีระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยคนต่างด้าวดังกล่าวต้องเข้ารับการกักกันเป็นเวลา 14 วัน ทำให้มีระยะเวลาไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับการอนุญาต จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวประเภทดังกล่าวอีก 15 วัน รวมเป็น 45 วัน ตั้งแต่วันที่ .. ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
16. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ประกอบกับจากสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งมีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่มาประกอบอาชีพเป็นจำนวนมาก โดยพบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่า 6 จังหวัดที่จะได้รับผลกระทบเนื่องจากเป็นจังหวัดพื้นที่โดยรอบจังหวัดสมุทรสาคร ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และสมุทรสงคราม ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นภัยอันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อนายจ้างทำให้ต้องหยุดกิจการชั่วคราวและลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง จึงเห็นควรนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร่งด่วน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
2. “เหตุสุดวิสัย” หมายความรวมถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ
3. ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามกฎกระทรวงนี้
4. ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย และหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทินมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทุกครั้งรวมกันไม่เกินเก้าสิบวัน
เศรษฐกิจ - สังคม
17. เรื่อง เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564 พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2564 ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 – 3 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธาน กนง. ได้ประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้เห็นชอบร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2564 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. หลักการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
บริบทของเศรษฐกิจโลกและไทยที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในระยะข้างหน้าเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เผชิญข้อจำกัดมากขึ้นจากมาตรการคุมการระบาด (2) ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และ (3) การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ e- Commerce และการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานในกระบวนการผลิต (Automation) หลังการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ยังเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 ที่ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนสูง กระทรวงการคลัง (กค.)และ ธปท. จะได้มีความร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้มีความสอดประสานกันมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นเอื้อให้ กนง. สามารถพิจารณานโยบายการเงินได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินของไทยที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า โดยในปัจจุบัน กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางและการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในการตัดสินนโยบายการเงินแต่ละครั้ง กนง. จะพิจารณาความสำคัญของเป้าหมายด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการดำเนินนโยบายการเงินในแต่ละทางเลือก (Policy Trade – off) ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงพร้อมใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในลักษณะผสมผสานเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 - 3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2564 โดยอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวเป็นระดับที่เหมาะสมกับพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ เป้าหมายแบบช่วงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้โลกที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงหลังการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ประกอบกับสามารถดูแลเป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายระยะปานกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับประสิทธิผลการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องใช้เวลาในการส่งผ่านผลไปยังภาคเศรษฐกิจจริง
3. การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน
กค. และ ธปท. จะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน รวมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไปอันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
4. การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปออกนอกกรอบเป้าหมาย
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะต่อไปจะผันผวนจากความไม่แน่นอนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด ความเสี่ยงจากต่างประเทศโดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอมริกาและมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ดังนั้น หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า เคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร
5. การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
18. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งให้ใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) และกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) รวมทั้งสิ้น 200 อัตรา ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ดังนี้
1. นร. (สำนักงาน ก.พ.ร.) จำนวน 30 อัตรา
2. นร. [สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)] จำนวน 94 อัตรา
3. ยธ. (กรมบังคับคดี) จำนวน 76 อัตรา
สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคคลของส่วนราชการดังกล่าวให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณ (สงป.) กำหนด
โดยการอนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัด นร. (สำนักงาน ก.พ.ร. และ สทนช.) และ ยธ. (กรมบังคับคดี) รวมทั้งสิ้น 200 อัตรา จะมีค่าใช้จ่ายด้านบุคคลเพิ่มขึ้น รวมทั้งสิ้น 52,093,200 บาทต่อปี สรุปได้ ดังนี้
ส่วนราชการ
ตำแหน่งข้าราชการที่ คปร. เห็นชอบ
ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มขึ้น
ตำแหน่งข้าราชการ
จำนวน
(อัตรา)
ต่อเดือน
(บาท)
ต่อปี
(บาท)
(1) สำนักงาน ก.พ.ร.
นักพัฒนาระบบราชการปฏิบัติการหรือชำนาญการ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงมหาดไทยชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงมหาดไทยชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
วันนี้ (22 ธ.ค. 63) เวลา 09.45 น. ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวสารว่าเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดนปล่อยปะละเลยให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ มีการจ่ายเงินค่าหัว จนทำให้แรงงานที่เข้ามาเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโควิด-19
นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยขอชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทย โดย ศบค.มท. ได้กำหนดมาตรการในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการลักลอบเดินทางเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน โดยแบ่งพื้นที่และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ได้แก่ 1) จังหวัดชายแดน แบ่งการปฏิบัติเป็น 3 ระดับ คือ (1) การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน ให้เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น (2) การปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค เพื่อคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมือง คัดกรองรถขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งกำหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) ประจำช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออก ของบุคคล สินค้าและยานพาหนะที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ (3) การปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน หากพบแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมาย ให้ประสานหน่วยงานความมั่นคงดำเนินการตามกฎหมายทันที 2) จังหวัดชั้นใน ให้ดำเนินการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยให้ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสกัดกั้นการเดินทางเข้าออกและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และในกรณีจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ให้ตรวจสอบสถานประกอบการทุกแห่งในพื้นที่ที่จ้างแรงงานต่างด้าว โดยให้ตรวจคัดกรองโรคและตรวจหาเชื้อโดยการสุ่มตรวจ รวมทั้ง ให้สถานประกอบการจัดทำแผนความปลอดภัยด้านสาธารณสุข และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กรณีพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข และหากพบแรงงานลักลอบเดินทางเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายสมคิด จันทมฤก เน้นย้ำว่า กระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงทำความเข้าใจและเน้นย้ำกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามมิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง และไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยหรืออาญา สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป กระทรวงมหาดไทยจะดำรงความเข้มข้นในการปฏิบัติตามมาตรการ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการตรวจสอบและเฝ้าระวังในระดับพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37806 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเร่งแก้ PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพประชาชน | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
นายกฯ กำชับเร่งแก้ PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพประชาชน
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนที่อาศัยและทำกิจกรรมในพื้นที่ที่สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 รุนแรง โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เช่น ยานพาหนะ อุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง การก่อสร้างและผังเมืองและภาคครัวเรือน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ รวมทั้งแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง 12 มาตรการ พร้อมกับขอให้ช่วยประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาและดูแลป้องกันตนเองจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37797 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม (คำสั่งที่ ๖/๒๕๖๓) ครั้งที่ ๒/ ๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม (คำสั่งที่ ๖/๒๕๖๓) ครั้งที่ ๒/ ๒๕๖๓ โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ คณะอนุกรรมการฯ ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชน เข้าร่วม
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ จำนวน ๑๓ กรณี กรณีส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการอื่น จำนวน ๕ กรณี กรณีสามารถดำเนินการได้ จำนวน ๘ กรณี รวมถึงมีการเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชน ยกเลิกคำสั่ง คสช. และคำสั่งคณะปฏิวัติ ทุกฉบับที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันศึกษากรณีดังกล่าว นอกจากนี้ ได้มีประชาชนจากตำบลโพธ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับผลกระทบจากเทศบาลเมืองศรีสะเกษดำเนินคดี พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สมาคมธนาคารไทยแนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สมาคมธนาคารไทยแนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ธนาคารสมาชิกของสมาคมธนาคารไทย แจ้งปิดสำนักงานและสาขาของธนาคารในพื้นที่สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2563 เป็นต้นไป เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน แนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ธนาคารสมาชิกของสมาคมธนาคารไทย แจ้งปิดสำนักงานและสาขาของธนาคารในพื้นที่สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน แนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องรับฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ และบริการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีประกาศจากคณะกรรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ด้วยมาตรการเด็ดขาด และรวดเร็ว โดยการควบคุมการเข้าออกพื้นที่และการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัด ในพื้นที่การระบาดและพื้นที่เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 นั้น
เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า พนักงาน และดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรค COVID-19 ของธนาคารสมาชิกเป็นไปมาตรการของรัฐ และแนวปฏิบัติของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด ธนาคารสมาชิกของสมาคมธนาคารไทยจึงมีความจำเป็นต้องปิดการทำงานและบริการที่อาคารและสาขาของบางธนาคารภายในเขตพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
อนึ่ง ลูกค้าสามารถใช้บริการหลักของธนาคาร ทั้งการถอนเงิน โอนเงินและฝากเงินในเขตพื้นที่ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องรับฝากเงินและถอนเงินอัตโนมัติที่ตั้งกระจายในพื้นที่ และบริเวณหน้าสาขาของธนาคาร รวมถึงการทำธุรกรรมผ่านระบบ PromptPay และบริการสินเชื่อต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการของสินเชื่อแล้ว ทั้งนี้ บริการบางอย่างของธนาคารในเขตพื้นที่ที่มีการปิดสำนักงานและสาขาของธนาคารอาจจะต้องใช้เวลาการดำเนินการมากกว่าเดิม หรือล่าช้ากว่าปกติ ตามข้อจำกัดของแต่ละธนาคารในช่วงเวลานี้ โดยลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากทาง website ของแต่ละธนาคาร
ทั้งนี้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ดังกล่าว สมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์มีความห่วงใยความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานและลูกค้าเป็นสำคัญ จึงขอให้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
สมาคมธนาคารไทย
โทร. 0-2558-7500
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37799 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง” | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง”
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง”
22 ธันวาคม 2563
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ
การระบาดใหม่ของโควิด-19 ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาครได้ถูกจัดการอย่างเร่งด่วนในทันที พร้อมกับการใช้มาตรการที่เข้มข้น ซึ่งผมขอขอบคุณทุกคน ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การระบาดที่เกิดใหม่นี้ เป็นสิ่งย้ำเตือนที่สำคัญว่าโควิด-19 ยังคงเป็นภัยร้ายแรงสำหรับประเทศของเรา
และในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์โควิดทั่วโลกก็ดำดิ่งลงสู่ความหนักหนาสาหัสที่รุนแรงและกะทันหันด้วยไม่กี่วันก่อน ประเทศอังกฤษยืนยันว่าพบโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนคนภายในแค่สัปดาห์เดียว และดูเหมือนว่าจะมีการพบโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ในประเทศอื่น ๆ แล้วด้วย
เดือนธันวาคมนี้ ดูจะเป็นเดือนที่สำคัญ สถานการณ์โควิดทั่วโลกเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดมา หลายประเทศรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเป็นร้อย ๆ คน ภายในสัปดาห์เดียว และมีบางประเทศที่เสียชีวิตเป็นพัน ๆ คนภายในหนึ่งสัปดาห์
การที่สถานการณ์โควิดทั่วโลกแย่ลงขนาดนี้ย่อมจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีมาถึงประเทศไทยด้วยแน่นอน และเราต้องคงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ
ผลกระทบอย่างแรก คือเศรษฐกิจทั่วโลกจะยิ่งฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะช้ากว่าที่คาดการณ์ตามไปด้วย
ผลกระทบอย่างที่สอง คือเราจะยังคงต้องระมัดระวังมาตรการการผ่อนคลายให้คนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยต่อไปอีก เพราะเมื่อสถานการณ์โควิดนอกประเทศแย่ขนาดนี้ ความเสี่ยงที่สุดของเราก็คือ คนต่างชาติที่เข้าประเทศไทย จะนำเชื้อโควิดเข้ามาในประเทศเราด้วย ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขของไทย และสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจมากกว่าที่เราเจออยู่อีกหลายเท่า เราจึงต้องเข้มงวดและระมัดระวังอย่างเต็มที่ ทั้งที่สนามบิน และช่องทางเข้าประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟ รถบัส เรือ รวมถึงช่องทางธรรมชาติอื่น ๆ ด้วยเพราะหากมีผู้ติดเชื้อโควิดเล็ดลอดเข้าประเทศมาได้ แม้เพียงไม่กี่คนก็จะสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับเศรษฐกิจและสุขภาพของคนนับแสน ๆ คน
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางเข้าประเทศต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำงานด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น และมีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง ชาวต่างชาติหลายคนที่เข้ามาที่สุวรรณภูมิ บอกกับผมว่าเค้าประทับใจในความเป็นมืออาชีพ และความมีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ทีมต่าง ๆ ที่บริหารจัดการขั้นตอนการเข้าประเทศได้อย่างน่าชื่นชม เราต้องคงประสิทธิภาพแบบนี้เอาไว้
ผลกระทบอย่างที่สาม คือเมื่อสถานการณ์ทั่วโลกยิ่งแย่ลง ก็ทำให้เรายิ่งต้องตั้งการ์ดให้สูงขึ้น เพิ่มและปรับมาตรการต่าง ๆ ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่สมุทรสาคร ปัจจุบันได้มีการกักกันและอยู่ระหว่างการสอบสวนโรคเชิงรุก และทางจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดใกล้เคียง และกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ทั้งการทำกิจกรรมต่าง ๆ การตรวจคัดกรอง การเข้า-ออกสถานที่ การเว้นระยะห่าง ทั้งนี้ ผมอาจจำเป็นต้องประกาศมาตรการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจกรรมเฉลิมฉลองปีใหม่จะมีมาตรการอย่างไร หรือต้องงดจัดงาน ผมเข้าใจดี ทุกคนต้องการผ่อนคลาย ธุรกิจร้านค้าก็อยากมีรายได้ อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ผมจะประชุมกับ ศบค. และจะมีการออกมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะในเมื่อเราได้เห็นมาแล้วว่าถ้าเราอ่อนหรือผ่อนคลายมาตรการมากเกินไป โควิดจะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจที่มากกว่านี้และกระทบกันไปหมดทั้งประเทศ
หลายประเทศตอนนี้ เริ่มกลับไปใช้มาตรการที่เข้มงวด มากมายหลายมาตรการ ทั้งการบังคับไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน การออกข้อกำหนดมากมายสำหรับคนที่ต้องการเข้าประเทศ ร้านค้าร้านอาหารส่วนใหญ่ต้องปิด รวมถึงสถานที่บันเทิงและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ก็ต้องปิดด้วย หรือในบางประเทศ อย่างฝรั่งเศส ถึงขั้นห้ามไม่ให้มีการขนส่งสิ่งของ เข้า-ออกประเทศเป็นการชั่วคราว
เมื่อต้นปี ตอนที่โควิดเริ่มเป็นภัยร้ายแรงของโลก มีประเทศที่ไม่เข้มงวดปกป้องดูแลเรื่องสุขภาพและสาธารณสุขด้วยเพราะกังวลว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของตัวเอง ปัจจุบันประเทศเหล่านี้ล้วนเจอผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายแล้วการระบาดของโควิด ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ เมื่อคนเป็นโควิดเยอะ สุดท้ายก็สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจอยู่ดี เพราะฉะนั้นสำหรับผมมันชัดเจนมาก ว่าการเข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และสาธารณสุขของประเทศ เป็นวิธีที่จะปกป้องความเสียหายต่อเศรษฐกิจไม่ให้รุนแรงมากกว่าที่เรากำลังเจออยู่
ตั้งแต่ต้น เราเข้มงวดในเรื่องการปกป้องดูแลสุขภาพของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยเจอปัญหาเศรษฐกิจที่เบากว่าประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ และเรายังสามารถใช้ชีวิตประจำวันของเราได้อย่างเกือบเป็นปกติ โรงพยาบาล และสถานสาธารณสุขต่าง ๆ ยังทำงานกันได้ตามปกติ ดูแลคนไข้โรคอื่น ๆ ได้ โดยไม่ถูกคนไข้โควิดรบกวน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือคนไทยไม่ต้องเจอกับการสูญเสียชีวิตของพ่อแม่พี่น้องลูกหลานไปกับโควิด ซึ่งเป็นฝันร้ายที่คนในหลายประเทศทั่วโลกยังต้องเจอกันอยู่ทุกวัน
การที่เราทำได้เช่นนี้ ต้องยกความดีความชอบเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ที่ให้ความร่วมมือ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ทุกวันนี้เรายังคงต้องเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมกันต่อไป เรายังสวมหน้ากากอนามัยกันอยู่ตลอด เรายังล้างมือบ่อย ๆ เป็นประจำ และรักษาระยะห่างทางสังคม และเราต้องยกความดีความชอบให้กับการทำงานอย่างหนักของอาสาสมัครสาธารณสุข บุคลากรสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐทุกส่วนที่ร่วมมือกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
เราต้องจำไว้ว่า เพียงคนไม่กี่คนที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว จะสร้างปัญหาให้คนเป็นล้าน ๆ ได้ ผมจึงต้องขอให้คนไทยทุกคนใช้ชีวิตในแต่ละวัน อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากกว่าปกติ และขอให้ทำด้วยความภูมิใจว่า สิ่งที่ทุกคนทำ ทุกวัน ทุกวัน แม้จะดูเล็กน้อย แต่มีผลกับทั้งประเทศ สร้างความแตกต่างให้ประเทศไทยได้ และทุกคนได้มีส่วนช่วยกันทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ ในส่วนของขบวนการนำแรงงานเถื่อนเข้าประเทศนั้น จะต้องถูกดำเนินคดี ถูกทำลายให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ หรือประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพราะการแพร่ระบาดครั้งนี้ ตรวจพบผู้ติดเชื้อจากแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
แม้ว่าเส้นทางจะยังอีกยาวไกลกว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติ แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าเราทุกคนยังร่วมมือกันแบบนี้ได้ เราจะยังเป็นหนึ่งในประเทศที่รับผลกระทบน้อยที่สุดในโลก เราเป็นประเทศที่ประชาชนรู้ว่าเราพึ่งพาตัวเองได้ และเราก็หวังพึ่งพาคนอื่น ๆ ในสังคมได้ด้วย ให้ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
สำหรับผม ผมจะยังกำชับดูแลให้มั่นใจว่า หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ จะยังคงทำงานแบบบูรณาการ และใกล้ชิดกัน ผมจะกำชับดูแลให้ทุกฝ่ายยึดมั่นรับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุข และผมจะยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องต่อไป ในการเร่งจัดหาและพัฒนาวัคซีนให้พร้อมใช้งาน เร็วที่สุดเท่าที่จะเร่งได้ หลังจากที่เราประสบความสำเร็จมาแล้วในการเจรจา ให้ผู้พัฒนาวัคซีนที่ดีที่สุดในโลกรายหนึ่ง ตกลงมาตั้งศูนย์ผลิตวัคซีนในประเทศไทย
ในช่วงเวลานี้ ที่พายุโควิดนอกประเทศไทย โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นอีก เรายิ่งต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ผมขอให้คนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ และอยู่เคียงข้าง ต่อสู้ไปด้วยกัน ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ไปให้ได้
ขอบคุณมากครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอระดมทีมวางกลยุทธ์ลงทุนเตรียมรับเศรษฐกิจฟื้นตัว | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
บีโอไอระดมทีมวางกลยุทธ์ลงทุนเตรียมรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
บีโอไอระดมทีมวางกลยุทธ์ลงทุนเตรียมรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
บีโอไอระดมทีมวางกลยุทธ์ลงทุนเตรียมรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
บีโอไอ ระดมสมองภาครัฐ – เอกชนด้านเศรษฐกิจกว่า 30 องค์กร เตรียมแผนรองรับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหลังโควิด-19 เร่งหารือผู้ประกอบการร่วมกำหนดกลยุทธ์กระตุ้นการลงทุนครั้งใหญ่ หวังสร้างบรรยากาศการลงทุน ผลักดันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวปี 2564
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่าในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 บีโอไอเตรียมจัดประชุมหารือระหว่างภาครัฐและเอกชนรายใหญ่กว่า 30 องค์กร เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศและเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุนของไทยในปี 2564 โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
สำหรับภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 ภาคธนาคาร รวมถึงภาคเอกชนซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ ครอบคลุมกิจการที่มีความสำคัญ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภค โทรคมนาคม นิคมอุตสาหกรรม โรงแรม
“แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในแต่ละประเทศ มีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนที่จะเริ่มกลับมาในปี 2564 ซึ่งไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน บีโอไอจึงเตรียมความพร้อมในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและหามาตรการรองรับกิจการใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต” นางสาวดวงใจกล่าว
สำหรับการระดมความคิดเห็นครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและบีโอไอมีความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะนำข้อคิดเห็นของภาครัฐ ภาคธนาคาร และภาคเอกชน มากำหนดเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ปี 2563 นี้ แม้ผู้ประกอบการจะชะลอการลงทุนใหม่ แต่สำหรับคำขอรับการส่งเสริมตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกลับเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการในประเทศไทยมีการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว อุตสาหกรรมในประเทศไทยก็พร้อมที่จะรองรับการลงทุนที่จะกลับมาด้วยเช่นกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37803 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางลงพื้นที่ในการกำกับในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และติดตามการปฏิบัติราชการ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางลงพื้นที่ในการกำกับในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และติดตามการปฏิบัติราชการ
ในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและเขตตรวจราชการที่ ๑๒ ณ จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ มีกำหนดเดินทางเยือนจังหวัดขอนแก่น เพื่อปฏิบัติภารกิจกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและเขตตรวจราชการที่ ๑๒ ซึ่งครอบคลุม ๔ จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังข้อเสนอแนะกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
ในการเดินทางลงพื้นที่ดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เพื่อติดตามงานนโยบายของรัฐบาลและมอบหมายนโยบายในการกำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค ซึ่งประเด็นหลักในการหารือ ได้แก่ การดำเนินการของศูนย์ดำรงธรรม การดำเนินการของปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่สาธารณะ การเตรียมแผนรับมือภัยแล้งและอุทกภัย ราคาเกษตรตกต่ำ การบริหารจัดการขยะ น้ำเสียและปัญหาหมอกควัน เป็นต้น นอกจากนั้นจะร่วมหารือกับภาคเอกชน ภาควิชาการ และผู้อำนวยการสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังข้อเสนอแนะ โดยเน้นประเด็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งจะตรวจเยี่ยมโครงการและสถานที่สำคัญในพื้นที่ อาทิ โครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และศูนย์ Smart City Operation Center (SCOPC) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างจังหวัดในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ได้แก่ โครงการร้อยแก่นสารสินธุ์ และ Railway Innopolis (TRAM) ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น นาเคียงอ้อฟาร์ม พื้นที่ของปราชญ์ด้านการปลูกผักอินทรีย์
ในโอกาสเดียวกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนสนามบิน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนเครือข่ายโครงการยุวทูตความดี และได้รับเกียรติบัตรเป็นต้นแบบในการดำเนินการโครงการยุวทูตความดี เพื่อพลังแผ่นดิน ในปี ๒๕๕๔ โดยจะร่วมหารือเกี่ยวกับโครงการเสริมสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน รับฟังความเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และนักเรียนยุวทูตความดี และจะเปิดโอกาสให้ตัวแทนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ได้เข้าร่วมในช่วงถาม-ตอบ กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย
ที่มา :https://www.mfa.go.th/th/content/predpmfmtripkhonkaen22dec63
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37822 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงนามความร่วมมือพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้านระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ในพื้นที่โครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
พม. ลงนามความร่วมมือพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้านระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ในพื้นที่โครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศ
พม. ลงนามความร่วมมือพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้านระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ในพื้นที่โครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศ
วันนี้ (22 ธ.ค. 63) เวลา 14.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานสักขีพยานในพิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือ “บูรณาการวางแผนและสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ด้านระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ในพื้นที่โครงการบ้านมั่นคง” ระหว่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. และกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งมี 1. นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) 2. นายวิลาศ เฉลยสัตย์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง 3. นายพงศกร ยุทธโกวิท ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 4. นายกวี อารีกุล ผู้ว่าการการประปานครหลวง และ5. นายกฤษฎา ศังขมณี รองผู้ว่าการ รักษาการแทนผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ร่วมลงนาม ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า การลงบันทึกความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อให้ชุมชนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้านระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า และน้ำประปาในพื้นที่โครงการบ้านมั่นคง ทั้งรูปแบบการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม และการรื้อย้ายสร้างที่อยู่อาศัยแห่งใหม่บนที่ดินใหม่ ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อย ภายใต้โครงการบ้านมั่นคงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย และมีระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม อีกทั้งตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความร่วมมือดังกล่าว กระทรวง พม. โดย พอช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการจัดการ การขออนุญาตเรื่องที่ดินและการรวบรวมข้อมูลพื้นที่ชุมชนภายใต้โครงการบ้านมั่นคงในการขอขยายเขตไฟฟ้าและน้ำประปาพร้อมจัดทำแผนระยะ 3 ปี และแผนรายปีระบุพื้นที่กลุ่มเป้าหมายเสนอการไฟฟ้า การประปา และกระทรวงมหาดไทย โดยเชื่อมโยงกับองค์กรชุมชนและประสานการทำงานระหว่างหน่วยงาน ส่วนกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะร่วมจัดทำแผนงานขยายเขตไฟฟ้า และประปา ในพื้นที่โครงการฯ พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการให้กับครัวเรือนที่อยู่อาศัย โดยเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาค จะสนับสนุนกระบวนการดำเนินงานตามระเบียบหลักเกณฑ์ของหน่วยงาน ร่วมกับองค์กรชุมชนในพื้นที่โครงการฯ เพื่อการติดตั้งขยายเขตน้ำประปาให้สำเร็จลุล่วง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37823 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
เปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต เป็นหนึ่งในเส้นทางของระบบขนส่งมวลชนทางรางที่จะอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในเขตเมือง ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ล่าสุดเปิดให้บริการครบทุกสถานี ตลอดเส้นทาง ทั้ง 59 สถานี รวมระยะทาง 68 กม. เชื่อมการเดินทางได้ถึง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ โดยคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารทั้งระบบได้มากกว่า 1,500,000 คน/วัน อีกทั้ง ยังมีจุดเชื่อมต่อการเดินรถโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทองจากสถานีกรุงธนบุรี ไปยังสถานีคลองสาน ช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชน และลดความแออัดของการใช้บริการได้เป็นอย่างดี
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37798 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย ครั้ง ๑/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย ครั้ง ๑/๒๕๖๓ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
เพื่อพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ สภาผู้แทนราษฎร รวมทั้ง การรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ การรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ....
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ แนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมทั้ง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ....
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37819 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 8/2563 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 8/2563
รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 8/2563
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 8/2563 ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศร์ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติและคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม โดยการประชุมดังกล่าว มีการพิจารณาข้ออุทธรณ์ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จำนวน 4 เรื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37824 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติดตามความก้าวหน้าการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 3/2563 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ติดตามความก้าวหน้าการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 3/2563
ดีอีเอส ติดตามความก้าวหน้าการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 3/2563
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 3/2563 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการร่วมกับโรงพยาบาลในภาคี ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หน่วยงานภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำเนินการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล และประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลภาคี ในรูปแบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ณ ห้องประชุม MDES ชั้น 9 สำนักปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เปิดเสนอชื่อ “สตรีทำงานดีเด่น 2564” | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กสร. เปิดเสนอชื่อ “สตรีทำงานดีเด่น 2564”
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เชิญชวนเสนอชื่อสตรีทำงานดีเด่น เพื่อเชิดชูเกียรติและเข้ารับโล่รางวัลในงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 หมดเขต 1 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลและบริหารงานโดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งมั่นให้แรงงานสตรีได้รับการปกป้อง คุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ และกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญของสตรีทำงานทุกคนว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ สังคมที่ดี ทั้งในระดับครอบครัวจนถึงระดับชาติ จึงสนับสนุนส่งเสริมให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้จัดงานวันสตรีสากลขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรติสตรีทำงาน ซึ่งประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งในด้านการครองตน ครองคน และครองงาน มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวต่อไปว่า ในปี 2564 กรมได้กำหนดจัดงานวันสตรีสากลขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร กำหนดแนวคิดหลัก (Theme) ในการจัดงานว่า “แรงงานสตรี รวมพลังฝ่าวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” โดยจัดกิจกรรมหลักสำคัญเพื่อส่งเสริมคุณค่าของสตรีทำงาน คือ การคัดเลือกสตรีทำงานดีเด่น เพื่อมอบโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณ ซึ่งกำหนดประเภทสตรีทำงานดีเด่นประจำปี 2564 จำนวน 8 ประเภท ได้แก่ สตรีนักบริหารดีเด่น จำนวน 9 รางวัล สตรีผู้ปฏิบัติการดีเด่น จำนวน 9 รางวัล สตรีเครือข่ายด้านแรงงานดีเด่น จำนวน 6 รางวัล สตรีผู้ประกอบอาชีพอิสระดีเด่น จำนวน 4 รางวัล ศิลปินสตรีดีเด่น จำนวน 1 รางวัล สื่อมวลชนสตรีดีเด่น จำนวน 1 รางวัล สตรีองค์กรพัฒนาเอกชนดีเด่น จำนวน 1 รางวัล และสตรีนักวิชาการด้านแรงงานดีเด่น จำนวน 1 รางวัล รวมทั้งสิ้น 32 รางวัล ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด แบบเสนอชื่อ พร้อมคุณสมบัติ/หลักเกณฑ์การคัดเลือกสตรีทำงานดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ เว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน www.labour.go.th หัวข้อ“ข่าวประชาสัมพันธ์” เรื่อง “การรับสมัครสตรีทำงานดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564” หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานแรงงานหญิง เด็ก และเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน กองคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์: 0 2246 8024 หรือ E-mail : [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37807 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปูพรมตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกกลุ่มเสี่ยงในชุมชนสมุทรสาคร | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สธ.ปูพรมตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกกลุ่มเสี่ยงในชุมชนสมุทรสาคร
กระทรวงสาธารณสุข ส่งรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ลงพื้นที่ เร่งปูพรมตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนแรงงานต่างด้าวในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด
กระทรวงสาธารณสุข ส่งรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ลงพื้นที่ เร่งปูพรมตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนแรงงานต่างด้าวในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ. นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ความสำคัญกับการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในทุกพื้นที่ที่คาดว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงอาจเกิดการแพร่ระบาด รวมทั้งเพิ่มการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง แรงงานต่างด้าวที่อยู่รวมกันในที่พักหรือโรงงาน ผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักในศูนย์กักกันคนเข้าเมือง หรือกลุ่มที่มีโอกาสพบปะผู้คนจำนวนมาก เช่น บุคลากรหรือพนักงานต้อนรับประจำรถสาธารณะ อาชีพเสี่ยงอื่น ๆ หรือกลุ่มที่มีแนวโน้มพบปะผู้ป่วยสูง คือ บุคลากรทางการแพทย์ ส่วนสถานที่เสี่ยง ได้แก่ ตลาดนัด ศาสนสถาน สถานีขนส่งผู้โดยสาร สถานีรถไฟฟ้า ชุมชนแออัด เป็นต้น สำหรับที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้เร่งติดตามตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยง
ตั้งเป้าให้ได้ 10,300 ราย ภายใน 2 สัปดาห์ โดยนำรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานจำนวน 6 คัน และระดมบุคลากรทางการแพทย์จาก 8 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 5 เร่งตรวจคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวพร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ เพื่อจำกัดตีวงในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง และจะตรวจค้นหาอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ขยายขีดความสามารถห้องปฏิบัติการในทุกจังหวัดและกทม. ให้พร้อมตรวจได้ทั่วถึง โดยความร่วมมือของ ภาครัฐ เอกชน และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง มีความสามารถตรวจได้ 50,000 ตัวอย่าง/วัน รวมทั้งมีระบบการจับคู่ห้องปฏิบัติการกับโรงพยาบาลต้นสังกัด เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบออนไลน์กับกรมควบคุมโรคและโรงพยาบาลที่ส่งตรวจ ทำให้การรับส่งเชื้อรวดเร็ว รายงานผลได้ภายใน 24 ชั่วโมง ช่วยให้การป้องกันควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถวินิจฉัยรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นมา ได้ทำการตรวจปูพรมทั่วประเทศไปแล้วกว่า 200,000 ราย ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี RT-PCR เพื่อให้การวินิจฉัยรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว สามารถควบคุมโรค จำกัดวงการแพร่ระบาดได้
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในระบบเฝ้าระวังในปัจจุบัน หากมีอาการสงสัยป่วยโรคโควิด19 ได้แก่ ไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส ร่วมกับมีประวัติเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่โรงพยาบาล โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ ให้ สปสช. ผ่านกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับการตรวจโควิด 19 ให้กับโรงพยาบาล โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย จำนวน 13 คัน เพื่อสนับสนุนการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะพื้นที่ที่เข้าถึงยาก และเพื่อให้บุคคลากรทางการแพทย์มีความปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงาน ประชาชนสามารถโทรสอบถามการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สปสช. โทร 1330
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37804 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564
ครม.มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และ รมว.คลัง เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 28/8 แห่ง พ.ร.บ. ธปท. พ.ศ.2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ธปท. พ.ศ.2485 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 สรุปได้ ดังนี้
1. กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2564
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กนง. ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2564 โดยข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 หลักการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
บริบทของเศรษฐกิจโลกและไทยที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในระยะข้างหน้าเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เผชิญข้อจำกัดมากขึ้นจากมาตรการควบคุมการระบาด (2) ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และ (3) การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ E-Commerce และการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานในกระบวนการผลิต (Automation) หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนสูง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้มีความร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้มีความสอดประสานกันมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นเอื้อให้ กนง. สามารถพิจารณานโยบายการเงินได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินของไทยที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า โดยในปัจจุบัน กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง และการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในการตัดสินนโยบายการเงินแต่ละครั้ง กนง. จะพิจารณาความสำคัญของเป้าหมายด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการดำเนินนโยบายการเงินในแต่ละทางเลือก (Policy Trade-off) ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงพร้อมใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในลักษณะผสมผสาน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.2 เป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2564 โดยอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวเป็นระดับที่เหมาะสมกับพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ เป้าหมายแบบช่วงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้โลกที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับสามารถดูแลเป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายระยะปานกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับประสิทธิผลการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องใช้เวลาในการส่งผ่านผลไปยังภาคเศรษฐกิจจริง
2.3 การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน
กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
2.4 การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปออกนอกกรอบเป้าหมาย
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะต่อไปจะผันผวนจากความไม่แน่นอนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด ความเสี่ยงจากต่างประเทศโดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ดังนั้น หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร
2.5 การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงินสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3248
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37827 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๔ ให้ประชาชน ผ่านบริการงานด้านยุติธรรม | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๔ ให้ประชาชน ผ่านบริการงานด้านยุติธรรม
นายวันฉัตร วณิชพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านประชาสัมพันธ์) เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงยุติธรรม
ในวันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๕ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายวันฉัตร วณิชพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านประชาสัมพันธ์) เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงยุติธรรม โดยมี หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ และผู้ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
โดยที่ประชุมได้หารือแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ หรือกิจกรรมที่จะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔ ผ่านบริการงานด้านยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ ให้สาธารณชนรับทราบ ภายใต้หลักการบริหารงานที่สำคัญของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยแนวทางในการส่งมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย การลดภาระค่าใช้จ่ายและช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความยุติธรรม การบริการความรู้ และความเข้าใจด้านกฎหมาย การบริการงานยุติธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ และการบริการงานยุติธรรมผ่านระบบเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสถิติรายงานมูลค่าประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ เพื่อนำมาวิเคราะห์แนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชน ในปี พ.ศ.๒๕๖๔ โดยเน้นขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงยุติธรรมให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปสู่สาธารณชนให้ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของกระทรวงยุติธรรมผ่านสื่อมวลชนได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีความต่อเนื่อง อันจะนำไปสู่การยกระดับการปฏิบัติงานด้านข่าวสารของกระทรวงยุติธรรมให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37821 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวแถลงการณ์ “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีกล่าวแถลงการณ์ “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวแถลงการณ์ “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
22 ธันวาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแถลงการณ์ “การระบาดอีกครั้งของโควิด – เราต้องเข้มแข็ง” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการระบาดใหม่ของโควิด-19 ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้ถูกจัดการอย่างเร่งด่วนทันทีด้วยการใช้มาตรการที่เข้มข้น พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การระบาดที่เกิดใหม่นี้ย้ำว่า โควิด-19 ยังเป็นภัยร้ายแรงสำหรับประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สถานการณ์โควิดทั่วโลกก็รุนแรงและกะทันหันด้วย ไม่กี่วันก่อนอังกฤษยืนยันพบโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนคนภายในแค่สัปดาห์เดียวและพบโควิดสายพันธุ์ใหม่ในประเทศอื่น ๆ ด้วย ซึ่งสถานการณ์ โควิด-19 ทั่วโลกในเดือนธันวาคมเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดมา หลายประเทศรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเป็นร้อย ๆ คนภายในสัปดาห์เดียว และมีบางประเทศที่เสียชีวิตเป็นพัน ๆ คนภายในหนึ่งสัปดาห์
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์โควิดทั่วโลกที่ส่งผลกระทบไม่ดีถึงประเทศไทย ผลกระทบแรก คือเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่จะช้ากว่าที่คาดการณ์ตามไปด้วย ผลกระทบที่สอง คือ ยังคงต้องระมัดระวังมาตรการการผ่อนคลายให้คนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยต่อไปอีก ความเสี่ยงสุดคือคนต่างชาติที่เข้าประเทศไทยอาจจะนำเชื้อโควิดเข้ามาในประเทศซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขของไทย และสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจมากกว่าที่มีอยู่หลายเท่า จึงต้องเข้มงวดและระมัดระวังเต็มที่ทั้งที่สนามบินและช่องทางเข้าประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟ รถบัส เรือรวมถึงช่องทางธรรมชาติ หากมีผู้ติดเชื้อ โควิดเล็ดลอดเข้าประเทศมาเพียงไม่กี่คนจะสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับเศรษฐกิจ และสุขภาพของคนนับแสน ๆ ผลกระทบที่สาม คือ เมื่อสถานการณ์ทั่วโลกยิ่งแย่ลง ทำให้ยิ่งต้องตั้งการ์ดให้สูงขึ้น เพิ่มและปรับมาตรการต่าง ๆ ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่สมุทรสาครว่า ปัจจุบันมีการกักกันและอยู่ระหว่างการสอบสวนโรคเชิงรุก ซึ่งจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดใกล้เคียงและกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ทั้งการทำกิจกรรมต่าง ๆ การตรวจคัดกรอง การเข้า-ออกสถานที่ การเว้นระยะห่าง ทั้งนี้ อาจจำเป็นต้องประกาศมาตรการเพิ่มเติม โดยเฉพาะกิจกรรมเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งจะมีมาตรการอย่างไรหรือต้องงดจัด ในสัปดาห์นี้จะประชุมกับ ศบค. และจะออกมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ถ้าอ่อนหรือผ่อนคลายมาตรการมากเกินไป โควิดจะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจที่มากกว่านี้และกระทบทั้งประเทศ ซึ่งหลายประเทศตอนนี้เริ่มกลับไปใช้มาตรการที่เข้มงวด ทั้งการบังคับไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน การออกข้อกำหนดมากมายสำหรับคนที่ต้องการเข้าประเทศ ร้านค้าร้านอาหารส่วนใหญ่ต้องปิด รวมถึงปิดสถานที่บันเทิงและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ด้วย หรือบางประเทศอย่างฝรั่งเศส ถึงขั้นห้ามไม่ให้มีการขนส่งสิ่งของ เข้าและออกประเทศเป็นการชั่วคราว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงต้นปีที่ผ่านมาตอนที่โควิดเริ่มเป็นภัยร้ายแรงของโลก มีประเทศที่ไม่เข้มงวดปกป้องดูแลสุขภาพและสาธารณสุขเพราะกังวลว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของตนเอง ปัจจุบันเจอผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายแล้วการระบาดของโควิดทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ เมื่อคนเป็นโควิดเยอะ สุดท้ายก็สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ ฉะนั้นการเข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสาธารณสุขของประเทศ จึงเป็นวิธีที่จะปกป้องความเสียหายต่อเศรษฐกิจไม่ให้รุนแรงมากกว่าที่เรากำลังเจออยู่
นายกรัฐมนตรีเน้นถึงเหตุผลที่ไทยเจอปัญหาเศรษฐกิจที่เบากว่าประเทศอื่น ๆ หลายประเทศว่า ตั้งแต่ต้นไทยเข้มงวดการปกป้องดูแลสุขภาพของประชาชน จึงยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเกือบเป็นปกติ โรงพยาบาลและสถานสาธารณสุขต่าง ๆ ยังทำงานกันได้ตามปกติ ดูแลคนไข้โรคอื่น ๆ ได้ โดยไม่ถูกคนไข้โควิดรบกวน ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนไทยไม่ต้องเจอกับการสูญเสียชีวิตของพ่อแม่พี่น้องลูกหลานไปกับโควิด ซึ่งเป็นฝันร้ายที่คนในหลายประเทศทั่วโลกยังต้องเจอกันอยู่ทุกวัน โดยต้องยกความดีความชอบให้ประชาชนคนไทยทุกคนที่ให้ความร่วมมือ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความรับผิดชอบต่อสังคม เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมกันต่อไป สวมหน้ากากอนามัยกันอยู่ตลอด ล้างมือบ่อย ๆ เป็นประจำ และรักษาระยะห่างทางสังคม พร้อมชื่นชมการทำงานอย่างหนักของอาสาสมัครสาธารณสุข บุคลากรสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐทุกส่วนที่ร่วมมือกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เพียงคนไม่กี่คนที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว จะสร้างปัญหาให้คนเป็นล้าน ๆ จึงต้องขอให้คนไทยทุกคนใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากกว่าปกติ และขอให้ทำด้วยความภูมิใจว่า สิ่งที่ทำทุกวัน ทุกวันแม้จะดูเล็กน้อยแต่มีผลกับทั้งประเทศ สร้างความแตกต่างให้ประเทศไทยได้ ทุกคนได้มีส่วนช่วยกันทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ นายกรัฐมนตรียืนยันขบวนการนำแรงงานเถื่อนเข้าประเทศจะต้องถูกดำเนินคดี ถูกทำลายให้สิ้นซากไม่ว่าจะเป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพราะการแพร่ระบาดครั้งนี้ ตรวจพบผู้ติดเชื้อจากแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวมั่นใจว่า แม้ว่าเส้นทางจะยังยาวไกลกว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติ หากทุกคนยังร่วมมือกัน ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่รับผลกระทบน้อยที่สุดในโลก เราเป็นประเทศที่ประชาชนรู้ว่าเราพึ่งพาตัวเองได้ และหวังพึ่งพาคนอื่น ๆ ในสังคมได้ด้วย ขอให้ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมกำชับดูแลให้มั่นใจว่า หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ จะยังคงทำงานแบบบูรณาการและใกล้ชิดกัน ให้ทุกฝ่ายยึดมั่นรับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุข และจะเร่งจัดหาและพัฒนาวัคซีนให้พร้อมใช้งานเร็วที่สุดเท่าที่จะเร่งได้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาให้ผู้พัฒนาวัคซีนที่ดีที่สุดในโลกรายหนึ่ง มาตั้งศูนย์ผลิตวัคซีนในประเทศไทย ในช่วงโควิดนอกประเทศไทยรุนแรงขึ้นอีก จึงยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น ขอคนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ และอยู่เคียงข้าง ต่อสู้ไปด้วยกัน ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ไปให้ได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลัง และความก้าวหน้าของหมู่บ้านคชานุรักษ์ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ติดตามการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลัง และความก้าวหน้าของหมู่บ้านคชานุรักษ์
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลัง และความก้าวหน้าของหมู่บ้านคชานุรักษ์ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามแผนงาน/โครงการและกิจกรรมเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว โดยได้เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลัง พร้อมด้วยผู้แทนเกษตรจังหวัดสระแก้ว เกษตรอำเภอทุกอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ โดยจังหวัดสระแก้วพบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 มีพื้นที่การระบาดสะสมรวม 7.4 หมื่นไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการควบคุมโรคฯ ตามมาตรการ และกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้เสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ต่อ ครม. เพื่อขออนุมัติงบกลาง จำนวน 1.44 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินการควบคุมโรค ชดเชยและเยียวยาให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว เพื่อให้ทันต่อฤดูกาลเพาะปลูกในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย. นี้ต่อไป
จากนั้นได้ลงพื้นที่หมู่ 20 บ้านวังสีทอง ตำบลหนองหว้า อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง แปลงของนางยุพา จิระเนตร พื้นที่จำนวน 18 ไร่ และแปลงของนายชัยณรงค์ สมบูรณ์ พื้นที่จำนวน 15 ไร่ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด พร้อมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้เกษตรกรได้รับทราบถึงแนวทางมาตรการแก้ไขปัญหาและขั้นตอนการดำเนินการของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยเร่งด่วน
นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่หมู่บ้านคชานุรักษ์ โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ หมู่ 28 บ้านสระหลวง ตำบลทุ่งมหาเจริญ อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านเกษตรกรรม ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด (ภาคตะวันออก) จังหวัดสระแก้ว โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยพบปะผู้นำชุมชน ยุวเกษตรกร และเกษตรกรต้นแบบ จำนวน 4 ราย เพื่อเป็นต้นแบบเมนูอาชีพในการนำไปขยายผลไปยังเกษตรกรรายอื่น ๆ ในพื้นที่หมู่บ้านเป้าหมาย ตามแผนการดำเนินงานฯ ในปี 2564 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย เปิดทดลองนั่งเรือพลังงานไฟฟ้าฟรี 2 เดือน เริ่ม 23 ธ.ค.นี้ ในเส้นทางพระราม 5 – สาทร | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย เปิดทดลองนั่งเรือพลังงานไฟฟ้าฟรี 2 เดือน เริ่ม 23 ธ.ค.นี้ ในเส้นทางพระราม 5 – สาทร
นายกรัฐมนตรีมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย เปิดทดลองนั่งเรือพลังงานไฟฟ้าฟรี 2 เดือน เริ่ม 23 ธ.ค.นี้ ในเส้นทางพระราม 5 – สาทร
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) เวลา 15.00 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา (MINE Smart Ferry : “MISSION NO EMISSION” River Mass Transit) และเปิดท่าเทียบเรือสะพานพุทธยอดฟ้า ท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ณ ท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ กสท. เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารและสื่อมวลชน เข้าร่วมงานด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดโครงการฯ มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า รัฐบาลมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำด้วยการยกระดับเรือโดยสารและท่าเรือให้ทันสมัย สะดวกปลอดภัย ไร้มลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท สำหรับนำนวัตกรรมใหม่ของยานยนต์ในภาคการขนส่งทางน้ำมาให้บริการแก่ประชาชน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ได้รับปลอดภัยในการสัญจร และยังเป็นการเชื่อมโยงการสัญจรทางบกและทางราง ช่วยลดปัญหาการจราจร ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบการจราจรและการขนส่งอัจฉริยะในประเทศไทย ยกระดับการขนส่งสาธารณะของประเทศให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ให้เป็นระบบคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ ทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานสะอาด ไร้มลพิษ สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่น และ PM 2.5 เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบด้านสุขภาพของจากปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยขอให้สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งในที่สาธารณะ สำหรับสถานการณ์โควิด-19 นั้น รัฐบาลมีมาตรการชัดเจน สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ โดยคนไทยทุกคนช่วยกันและรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยาจากท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ กสท. ไปยังท่าเรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า เพื่อเปิดท่าเทียบเรือสะพานพุทธยอดฟ้า พร้อมเยี่ยมชมโครงการนำร่องพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ Smart Pier (ท่าเรืออัจฉริยะ) แห่งแรกของประเทศไทย พร้อมกล่าวชมการทำงานของกระทรวงคมนาคม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมผนึกกำลังที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ” ที่ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ซึ่งท่าเรือแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะเปิดให้บริการประชาชนฟรี ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.63- 14 ก.พ.64 ในเส้นทางพระราม 5 - สาทร เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขแก่ผู้ใช้บริการทุกคนต่อไป และพร้อมจะเปลี่ยนท่าเรือให้สวยงาม ทันสมัย ทั้ง 29 ท่า ภายในปี 2565 ด้วย
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ชูอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสร้างโอกาสด้านอาชีพแก่ผู้กระทำผิด พร้อมขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินงานสร้างสังคมปลอดภัย | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ชูอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสร้างโอกาสด้านอาชีพแก่ผู้กระทำผิด พร้อมขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินงานสร้างสังคมปลอดภัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการบริหารองค์การอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อเป็นกลไกสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคม
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น แวนด้า แกรนด์ ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการบริหารองค์การอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อเป็นกลไกสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมบรรยายพิเศษในหัวขัอ “นโยบายของกระทรวงยุติธรรมกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคม” โดยมี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ คณะผู้บริหารกรมคุมประพฤติ ประธานกรรมการอาสาสมัครคุมประพฤติจังหวัดทั่วประเทศ ตัวแทนสมาคมอาสาสมัครคุมประพฤติ และผู้เกี่ยวข้องกว่า ๑๐๐ คน เข้าร่วมฯ เพื่อกำหนดทิศทางในการดำเนินงาน พร้อมบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคมได้
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า กระทรวงยุติธรรมมุ่งเน้นการดำเนินงานให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย ในส่วนของกรมคุมประพฤติมีหน้าที่ดูแลควบคุมผู้กระทำผิดที่พ้นโทษ รวมทั้งการคุมประพฤติผู้ต้องขังที่ได้รับการพักโทษ ทั้งนี้ เพื่อให้ภารกิจของกระทรวงยุติธรรมเกิดผลสัมฤทธิ์ เครือข่ายภาคประชาชนจึงเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคม และยังเป็นกลไกในการช่วยให้ผู้กระทำผิดสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคมตามนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม อาทิ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การลดความแออัดในเรือนจำ เป็นต้น ในปัจจุบันผู้ต้องขังร้อยละ ๘๐ ในเรือนจำ เป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติด บางส่วนได้รับการพักโทษเนื่องจากเป็นผู้ประพฤติดี แต่ยังต้องติดกำไลติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อติดตามพฤติกรรม ดังนั้น อาสาสมัครคุมประพฤติจึงเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเหลือการทำงานของกระทรวงยุติธรรมในส่วนนี้ รวมถึงการช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด ดูแลช่วยเหลือ สงเคราะห์ผู้กระทำผิดหรือผู้ได้รับการสงเคราะห์ การแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิด ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนภารกิจของกรมคุมประพฤติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37816 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จับมือ ก.ล.ต. จัดสัมมนา เรื่อง DPO กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส จับมือ ก.ล.ต. จัดสัมมนา เรื่อง DPO กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ดีอีเอส จับมือ ก.ล.ต. จัดสัมมนา เรื่อง DPO กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาและปาฐกถา เรื่อง DPO กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ สร้างแรงจูงใจ เพื่อสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานเท่าเทียบสากล ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและประธานผู้บริหารฝ่ายข้อมูล “Data Protection Officer (OPD) -Chief Data Officer (CDO) จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมงานสัมมนา กว่า 500 ท่าน ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37809 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) เวลา 09.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 โดยมี นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และคณะกรรมการจัดงานฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37811 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ย้ำที่ประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ เตรียมลงพื้นที่ติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
รมต.อนุชา ย้ำที่ประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ เตรียมลงพื้นที่ติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด
รมต.อนุชา ย้ำที่ประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ เตรียมลงพื้นที่ติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ 3 จังหวัด (จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ 3 จังหวัด (จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี) เข้าร่วม
สำหรับการประชุมครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ซึ่งนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี และ จ.ลพบุรี
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำที่ประชุมว่า ในการพิจารณาแผนงานหรือโครงการเพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ ขอให้ทั้ง 3 จังหวัดได้คำนึงถึงเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตร โดยปัจจุบันพบว่าเกษตรกรประสบปัญหาหลายด้าน หนึ่งในปัญหาระดับต้น คือ การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร จากที่ทั้ง 3 จังหวัดรายงานมา ได้มีการพิจารณาจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำควบคู่การพัฒนาด้านอื่นด้วย ขณะเดียวกันขอให้ทั้ง 3 จังหวัด หาแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมทุกระดับ ยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้นไป
......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดเสวนาฯ "การจัดทำงบประมาณและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี" | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
มหาดไทย จัดเสวนาฯ "การจัดทำงบประมาณและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี"
มหาดไทย จัดเสวนาฯ "การจัดทำงบประมาณและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี"
มุ่งเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำงบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณ
เพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย และสอดรับกับแนวทางของรัฐบาล
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) เวลา 08.45 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs) ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในหัวข้อเรื่อง “การจัดทำงบประมาณและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี” จัดขึ้นโดย สถาบันดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งการเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญของสำนักงบประมาณ เข้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด ทั้ง 76 แห่งทั่วประเทศ ผ่านระบบ Video Streaming และผ่านระบบสถานีโทรทัศน์กรมการปกครอง (DOPA Channel) ไปยังทุกอำเภอด้วย
โอกาสนี้ นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณสถาบันดำรงราชานุภาพ รวมทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ร่วมกันจัดเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs) ในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งการให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อนำเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำงบประมาณ การเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อใช้ประกอบในการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานโครงการและกิจกรรมต่างๆ ให้มีความถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลต่อการปฏิบัติงานให้ประสบผลสำเร็จ อันถือเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณและการบริหารงบประมาณ ตลอดจนการนำประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานมาหารือร่วมกัน เพื่อประโยชน์สาธารณะ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนภารกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ผลผลิต และผลลัพธ์ตามที่ตกลงไว้กับสำนักงบประมาณ และสอดรับกับเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล
สำหรับการจัดเสวนาฯ “การจัดทำงบประมาณและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำงบประมาณ และบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เป็นไปอย่างมีแบบแผน เป็นระบบ มีความคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37810 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
ในวันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง
ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนกรมพระธรรมนูญ
ผู้แทนกรมราชทัณฑ์ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม
ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสภาทนายความ รวมทั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์
ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมพิจารณาจำนวน ๖๓ เรื่อง ประกอบด้วย กรณีเรื่องสืบเนื่อง จำนวน ๑ เรื่อง
กรณีผู้เสียหายอุทธรณ์คำวินิจฉัยคณะอนุกรรมการ จำนวน ๒๓ เรื่อง
พิจารณาจ่าย จำนวน ๒๘๕,๑๖๙ บาท
กรณีจำเลย จำนวน ๔๐ เรื่อง พิจารณาจ่าย จำนวน ๑,๐๐๔,๔๕๑ บาท
รวมทั้งพิจารณาขออนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติ
ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ....
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบสถิติการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓
และช่วยเหลือคดีที่สาธารณชนให้ความสนใจ
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการติดตามให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย
คดีความผิดเกี่ยวกับเพศตามข้อสั่งการของคณะกรรมการฯ
และรับทราบสถิติยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อศาลอุทธรณ์
และรายงานผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37820 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ หารือหอการค้าเยอรมัน-ไทย ร่วมมือแก้วิกฤตมลพิษทางอากาศระยะยาว หนุนกฎหมายอากาศสะอาดแก้มลภาวะระดับลงลึก | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สุริยะ หารือหอการค้าเยอรมัน-ไทย ร่วมมือแก้วิกฤตมลพิษทางอากาศระยะยาว หนุนกฎหมายอากาศสะอาดแก้มลภาวะระดับลงลึก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือหอการค้าเยอรมัน-ไทย ร่วมมือแก้วิกฤตมลพิษทางอากาศระยะยาว หนุนกฎหมายอากาศสะอาดแก้มลภาวะระดับลงลึก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย ว่า เยอรมนีมีความสนใจที่จะร่วมมือกับไทยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circu lar Economy) โดยมีความเห็นว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรม อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีความเข้มแข็ง และอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน โดยทางหอการค้าเยอรมัน-ไทย ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวให้แก่กระทรวง เพื่อหาแนวทางดำเนินงานร่วมกันต่อไป ขณะเดียวกันยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ โดยสนับสนุนกฎหมายอากาศสะอาด (clean air act) ต้องมีการพิจารณาแก้ไขลงลึกถึงสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง และมีการนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการประกอบอุตสาหกรรมตามกรอบแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero waste) และเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประกอบกับขณะนี้เกิดปัญหามลภาวะทั่วโลก และในประเทศไทยมีปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้นหากภาคอุตสาหกรรมมีส่วนช่วยผลักดันจิตสำนึกส่วนนี้จะส่งผลดีในระยะยาว พร้อมกันนี้อุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากทุกตลาดทั่วโลก เป็นผลดีต่อการทำธุรกิจระยะยาวเช่นเดียวกัน
“ประเด็นที่หอการค้าเยอรมนีหารือเป็นสิ่งที่กระทรวงให้ความสำคัญอยู่แล้ว ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมก็มีแผนที่จะดำเนินงานในส่วนที่เป็นมาตรการระยะยาวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มีแผนปรับจากมาตรฐานยูโร 4 ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นการใช้มาตรฐานยูโร 5 และ 6 ในอนาคตอันใกล้นี้ พร้อมทั้งการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เป็นต้น โดยยอมรับว่าทุกการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งต้นทุนแก่ผู้ประกอบการ อย่างไรก็ดี จะเป็นผลดีต่อสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ในระยะยาว ซึ่งเราก็พยายามปรับไปตามความเหมาะสมของกระแสโลก” นายสุริยะ กล่าว
นายอันเดร ริชเตอร์ ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย กล่าวว่าขณะนี้ไทยยังมีปัญหาฝุ่นละอองซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศ จึงเล็งเห็นว่าหากทั้ง 2 หน่วยงานมีความร่วมมือกัน เยอรมนีในฐานะประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยี รวมทั้งมีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมและทำงานอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว หากทางกระทรวงฯ ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการของเยอรมนีด้วย ก็จะส่งผลให้การลงทุน และการทำงานราบรื่น ซึ่งน่าจะช่วยกันแก้ปัญหาและมุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมรักษ์โลก ตอบโจทย์เทรนด์ของโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
“ขณะนี้ทุกตลาดทั่วโลกมุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมรักษ์โลก แม้ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนจะสูง แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าพัฒนาให้ทันกับกระแส โดยเยอรมันนี มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีอยู่แล้วและพร้อมให้การสนับสนุนไทยต่อไป” นายอันเดร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37812 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัดกิจกรรมปลูกป่า ภายใต้โครงการศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร ตามแนวทางปรัชญาเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรมจัดกิจกรรมปลูกป่า ภายใต้โครงการศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร ตามแนวทางปรัชญาเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี
กระทรวงยุติธรรมจัดกิจกรรมปลูกป่า ภายใต้โครงการศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร ตามแนวทางปรัชญาเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ นณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านมุทิตาตำบลคลองโยง อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมปลูกป่าภายใต้โครงการศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรตามแนวทางปรัชญาเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ โดยมี นายรัฐศาสตร์ ชิดชู รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับการจัดกิจกรรมปลูกป่า ดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชน ได้มีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ร่วมบูรณาการปลูกต้นไม้ สวนเกษตร และปลูกป่า รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ตลอดจนเป็นการพัฒนาพื้นที่ภายในศูนย์ฝึกและอบรมฯ เพื่อการกสิกรรมอย่างเต็มรูปแบบตามบริบทของลักษณะทางกายภาพ โดยการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ ในโอกาสนี้ ประธานในพิธี พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และแขกผู้มีเกียรติได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ ปล่อยปลา และเดินชมบอร์ดนิทรรศการการดำเนินกิจกรรม/พื้นที่การเกษตร และชมการออกร้านของหน่วยงานในสังกัดและภาคีเครือข่าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก ประจำปี 2563 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ รางวัลสร้อยคอทองคำกว่า 78 รางวัล และรางวัลอื่นๆ รวม 114 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท” | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
“กอช. จัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก ประจำปี 2563 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ รางวัลสร้อยคอทองคำกว่า 78 รางวัล และรางวัลอื่นๆ รวม 114 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท”
กอช.จัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก กอช. ประจำปี 2563 จำนวน 114 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) กอช. จัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก กอช. ประจำปี 2563 จำนวน 114 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุนการออมแห่งชาติในระดับพื้นที่ เป็นประธานในพิธี โดยมี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้การต้อนรับ ณ ห้องออกรางวัล อาคาร ๒ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุนการออมแห่งชาติในระดับพื้นที่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะขับเคลื่อนฯ ได้ร่วมดำเนินงานส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ให้กับประชาชน ด้วยการลงพื้นที่ส่งเสริมให้ความรู้ด้านการออมเงินกับ กอช. ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้ “โครงการส่งเสริมวินัยการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในระดับพื้นที่” เพื่อให้ประชาชนทุกจังหวัดที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญได้เข้าถึงการออมเงินกับ กอช. และมุ่งส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้ทุกหมู่บ้าน ที่มีอยู่กว่า 74,000 หมู่บ้าน ได้มี “ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน” ให้บริการปรึกษาวางแผนการออม อำนวยความสะดวกการสมัครสมาชิก ส่งเงินออมสะสมให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งในการจัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก กอช. ประจำปี 2563 ถือเป็นกิจกรรมที่ดี ที่ช่วยสร้างแรงจูงใจ ส่งเสริมการออมให้สมาชิกได้ส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รวมทั้ง ผู้มีสิทธิสนใจสมัครสมาชิก ได้เข้าร่วมกิจกรรมการออมเงินเพื่อวัยเกษียณด้วย
การออมกับ กอช. เป็นการออมระยะยาว ฝึกนิสัยการออมให้ตนเอง บุคคลรอบข้าง และคนในครอบครัว เพื่ออนาคตยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี ในช่วงชีวิตที่เราไม่มีแรงทำงานจะได้มีเงินส่วนนี้ไว้ใช้ดำรงชีวิต ซึ่งการออมเงินกับ กอช. มีสิทธิพิเศษกว่าการออมรูปแบบอื่น เมื่อสมาชิกออม รัฐจะสมทบเงินเพิ่มให้อีกตามช่วงอายุ มีบำนาญใช้ตลอดชีพ รัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนจากการลงทุน และสามารถลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนเงินออมอีกด้วย ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการออมให้แก่สมาชิก กอช. ในครั้งนี้ จะสร้างแรงจูงใจ ช่วยกระตุ้นให้สมาชิก กอช. มีการออมเงินอย่างต่อเนื่องและจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทุกคนต่อไป และส่งเสริมให้ กอช. จัดกิจกรรมที่ดีแบบนี้ให้สมาชิกต่อไป
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. จัดกิจกรรมจับรางวัลให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก กอช. ในปีนี้จัดเป็นปีที่ 2 ซึ่งครั้งแรกได้จัดในปี 2562 ผลตอบรับจากสมาชิกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ปี 2563 กอช. ได้จัดกิจกรรมนี้ต่อเนื่องให้กับสมาชิก แม้สถานการณ์โควิด-19 อาจจะส่งผลกับการออมของสมาชิกบ้าง แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกเกิดการตระหนักถึงการออมเงินสม่ำเสมอ กอช. จึงสร้างแรงจูงให้ผู้ที่สนใจ และสมาชิก กอช. ที่ส่งเงินออมสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึง 30 พฤศจิกายน 2563 เพียง 600 บาท นอกจากได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานจาก กอช. แล้ว ยังมีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับรางวัลทองคำ รถจักรยานยนต์ เครื่องสูบน้ำ เครื่องตัดหญ้า โทรศัพท์มือถือ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท โดยจำแนกชุดรางวัล ดังนี้
รางวัลชุดที่ 1 จำนวน 37 รางวัล ประกอบด้วย
- รางวัลที่ 1 ทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลที่ 2 รถจักรยานยนต์ จำนวน 6 รางวัล
- รางวัลที่ 3 เครื่องสูบน้ำ จำนวน 6 รางวัล
- รางวัลที่ 4 เครื่องตัดหญ้า จำนวน 12 รางวัล
- รางวัลที่ 5 โทรศัพท์มือถือ จำนวน 12 รางวัล
รางวัลชุดที่ 2 รางวัลทองคำหนัก 1 สลึง จำนวน 77 รางวัล ให้กับทุกจังหวัด
รางวัลชุดที่ 3 จำนวน 80 รางวัล ประกอบด้วย
- รางวัลสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี รางวัลละ 1,000 บาท จำนวน 50 รางวัล
- รางวัลเงินออมสะสมจากธนาคารกรุงไทย รางวัลละ 1,000 บาท จำนวน 30 รางวัล
และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสมาชิกสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีได้ทางเว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” และเฟซบุ๊ก “กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายสื่อสารและสวัสดิการสมาชิก กองทุนการออมแห่งชาติ โทร. 02-049-9000 ต่อ 535 และ 551 (ในวันและเวลาทำการ)
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37829 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์บริหารแรงงาน EEC ปี 63 ผลสำเร็จเกินเป้า | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ศูนย์บริหารแรงงาน EEC ปี 63 ผลสำเร็จเกินเป้า
วันเสาร์ฺที่ 19 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพอใจผลการดำเนินงานศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นศูนย์อำนวยความสะดวกด้านแรงงานให้แก่นายจ้าง ผู้ประกอบการ และแรงงาน ได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ โดยปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา เกิดผลสำเร็จเกินเป้าหมายในหลายด้าน เช่น ให้บริการจัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ หรือ First S-curve และกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ New S-curve จากเดิมที่กำหนดไว้ 28,000 คน ซึ่งมีผู้สนใจมากถึงกว่า 40,000 คน รวมถึงฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 10 อุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบกิจการที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC ในอนาคตอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37795 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ย้ำเจ้าหน้าที่ในสังกัดพร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมยืนยันอาหารทะเลไทยปลอดภัยด้วยมาตรฐานการตรวจสอบระดับสากล | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ ย้ำเจ้าหน้าที่ในสังกัดพร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมยืนยันอาหารทะเลไทยปลอดภัยด้วยมาตรฐานการตรวจสอบระดับสากล
ปลัดเกษตรฯ ย้ำเจ้าหน้าที่ในสังกัดพร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมยืนยันอาหารทะเลไทยปลอดภัยด้วยมาตรฐานการตรวจสอบระดับสากล
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 ให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัด ดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้พิจารณาบุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงติดตามสถานการณ์จากความก้าวหน้าผลการสอบสวนผู้ป่วย และตรวจสอบ timeline ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 หากมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด ขอให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการกักตัวจนครบ 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ลงไปในพื้นที่ และให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และงดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง แต่หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปราชการในพื้นที่เสี่ยง ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมาตรการตามข้อกำหนดของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหน่วยงานควบคุมโรคในพื้นที่อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังให้หน่วยงานวางแผนล่วงหน้าในการปฏิบัติงาน สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด กรณีให้ปฏิบัติราชการที่บ้าน (Work from Home) หากสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสัตว์น้ำนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการตรวจพบโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่มโคโรนา 2019 ในผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานการเกิดโรคจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกันนี้ อาทิ SAR CoV2 และ MERS ในสัตว์น้ำที่เป็นสัตว์เลือดเย็นมาก่อน จึงขอให้ผู้บริโภคโปรดมั่นใจในการบริโภคสัตว์น้ำ และกรมประมงยังมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมและตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำก่อนถึงมือผู้บริโภคเพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด สำหรับสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงจะต้องได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี หรือ GAP ส่วนที่มาจากการทำประมงต้องผ่านการประเมินสุขอนามัยบนเรือประมง อีกทั้งยังมีการสุ่มตรวจสินค้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่วางจำหน่ายในท้องตลาดโดยใช้ชุดทดสอบเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของกรมปศุสัตว์ยังได้มีการปรับแผนในการเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานของโรงงานแปรรูปอาหารเพื่อส่งออก และฟารม์ต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงมีการตั้งด่านสุ่มตรวจตามจุดต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา และสำหรับองค์การสะพานปลาได้มีการประกาศปิดการใช้ท่าเรือสมุทรสาคร และท่าเรือสมุทรสงคราม รวมถึงได้คุมเข้ม 18 ท่าเรือทั่วประเทศ มาตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2563 มีการทำความสะอาดท่าเรือและพ่นยาฆ่าเชื้อ และยังได้มีมาตรการเยี่ยวยาผู้ประกอบการสำหรับเรือที่ออกจากท่าก่อนวันที่ 20 ธันวาคม 2563 สามารถนำเรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสมุทรสาคร และท่าเรือสมุทรสงครามได้ แต่ต้องมีการแจ้งก่อนล่วงหน้า โดยทางองค์การสะพานปลาจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปรอตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเปิดตลาดสำรองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนำสินค้ามาขาย เพื่อเป็นการเยียวยาในเบื้องต้น
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด รวมถึงกำชับในทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าไปรับฟังปัญหาและคอยช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37830 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" เผย ยกเลิกงานสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และงดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
"อนุชา" เผย ยกเลิกงานสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และงดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ
"อนุชา" เผย ยกเลิกงานสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และงดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลถึงการพบจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดใกล้เคียงอีกหลายราย ทางสำนักพระพุทธศาสนา ได้มติยกเลิกงานสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งจัดขึ้นทุกวันเสาร์ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และงดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ขอให้ประชาชนใช้ช่วงเวลาดังกล่าวพักผ่อนอยู่กับครอบครัว สวดมนต์อยู่ที่บ้าน ทั้งนี้ รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน ขอให้ทุกคนปฎิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการพบปะสังสรรค์ในสถานที่มีคนจำนวนมาก
............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37805 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรลงนามสัญญาให้สิทธิบริการระบบ National Single Window (NSW Operator) กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
กรมศุลกากรลงนามสัญญาให้สิทธิบริการระบบ National Single Window (NSW Operator) กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
กรมศุลกากรร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาให้สิทธิบริการระบบ National Single Window (NSW Operator) เพื่อให้บริการและพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) หรือระบบกลางการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) กรมศุลกากรร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาให้สิทธิบริการระบบ National Single Window (NSW Operator) เพื่อให้บริการและพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) หรือระบบกลางการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และระหว่างประเทศ ณ ห้องโถง อาคาร 1 กรมศุลกากร (คลองเตย)
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดตั้งระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว National Single Window (NSW) ของประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2548 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ ให้ความร่วมมือเพื่อร่วมกันผลักดันให้ระบบ NSW จัดตั้งได้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยระบบ NSW เป็นระบบอำนวยความสะดวกและบริการแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติควบคู่ไปกับการปฏิรูปกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ และการลดรูปเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ เช่น ผู้ประกอบการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ เป็นต้น สามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์แบบปลอดภัยและไร้เอกสาร เช่น การจัดเตรียมข้อมูลเพียงครั้งเดียวในการขอใบอนุญาตและใบรับรองทางอิเล็กทรอนิกส์ และการปฏิบัติพิธีการศุลกากรใบขนสินค้าและชำระค่าภาษีอากรแบบอัตโนมัติ การใช้ข้อมูลร่วมกันกับทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาตและใบรับรองระหว่างหน่วยงานภาครัฐภายในประเทศ และการเชื่อมโยงข้อมูลภาคธุรกิจระหว่างประเทศ โดยผู้ใช้บริการทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ สามารถติดตามผลในทุก ๆ ขั้นตอนของการดำเนินงานนำเข้า ส่งออกและการอนุมัติต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.thainsw.net/ และแอพพลิเคชั่น NSW e-Tracking on Mobile ได้ทุกวันและตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 37 หน่วยงาน รวมถึงภาคเอกชนได้เชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW อีกทั้งประเทศไทยได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับประเทศสมาชิกอาเซียนผ่าน ASEAN Single Window (ASW) เรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบัน ระบบ National Single Window หรือระบบกลางการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และระหว่างประเทศ ปีละกว่า 100 ล้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละ 10 ล้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจากนี้ไป NSW จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมใหม่ ในรูปแบบ B2G (Business-to-Government) และการเชื่อมโยงข้อมูลกับต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น และเพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW ที่เพิ่มมากขึ้น ครอบคลุมทั่วทุกภาคส่วนทั้งระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ (Government-to-Government: G2G) ภาคเอกชนกับภาครัฐ (Business-to-Government : B2G) และระหว่างภาคเอกชนกับภาคเอกชน (Business-to-Business: B2B) รวมทั้งเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องในมิติอื่น อาทิ ด้านการค้าขาย (e-Trade) ด้านการขนส่ง (e-Freight) และด้านการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เป็นต้น
กรมศุลกากร จึงมอบหมายให้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็นผู้ให้บริการระบบ National Single Window (NSW Operator) เนื่องจาก CAT มีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารมาเป็นระยะเวลานาน
กอปกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 มีมติเห็นชอบให้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็นผู้ให้บริการ NSW หรือ NSW Operator ของประเทศ จึงเชื่อมั่นได้ว่า ภายใต้การดำเนินการของกรมศุลกากรและบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการบริการระบบ National Single Window (NSW Operator) จะประสบความสำเร็จ สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการ รวมถึงสามารถเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW ของประเทศไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนผ่าน ASEAN Single Window (ASW) ได้อย่างราบรื่น
พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดเผยว่าระบบ National Single Window (NSW) เป็นระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ (G2G,G2B และ B2B) สำหรับการนำเข้า ส่งออกและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นระบบบริการแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติควบคู่ไปกับการปฏิรูปกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการและการลดรูปเอกสาร โดยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการสามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์แบบปลอดภัยและไร้เอกสาร รวมถึงการใช้ข้อมูลร่วมกันของทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาตและใบรับรองระหว่างหน่วยงานภาครัฐภายในประเทศและระหว่างประเทศโดยผู้ใช้บริการสามารถติดตามผลในทุก ๆ ขั้นตอนของการดำเนินงานผ่านทางอินเทอร์เน็ต (e-Tracking)ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
“ระบบ NSW นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ รวมถึงช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ดังนั้น CAT ในฐานะผู้ให้บริการระบบ NSW จึงมีความตั้งใจและพร้อมที่จะนำบริการด้านดิจิทัลและสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่มาให้บริการ NSW อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้กรมศุลกากรในฐานะที่เป็นหน่วยงานอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศสามารถพัฒนาการให้บริการให้เกิดประโยชน์ผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นและส่งผลดีต่อประเทศโดยรวมในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37813 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยบริเวณรอบตลาดกลางกุ้ง อัตราติดโควิดลดลง 3 เท่า | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สธ.เผยบริเวณรอบตลาดกลางกุ้ง อัตราติดโควิดลดลง 3 เท่า
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มขึ้น 427 ราย มาจากต่างประเทศเข้ารับการกักกัน 14 ราย ติดเชื้อในประเทศเชื่อมโยงตลาดกลางกุ้ง 16 ราย กระจายใน 8 จังหวัด และแรงงานต่างด้าว 397 ราย ผลการตรวจยังพบการติดเชื้อสูงในตลาดกลางกุ้ง
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มขึ้น 427 ราย มาจากต่างประเทศเข้ารับการกักกัน 14 ราย ติดเชื้อในประเทศเชื่อมโยงตลาดกลางกุ้ง 16 ราย กระจายใน 8 จังหวัด และแรงงานต่างด้าว 397 ราย ผลการตรวจยังพบการติดเชื้อสูงในตลาดกลางกุ้ง ส่วนบริเวณโดยรอบการติดเชื้อลดลง 3 เท่า ส่วนจังหวัดที่พบผู้ป่วยเชื่อมโยงตลาดกลางกุ้ง มี 1 รายที่เป็นผู้สัมผัสในครอบครัว เดินหน้าค้นหาผู้ป่วยโดยรอบเพิ่มขึ้น
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 โดยนายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 427 ราย หายป่วยเพิ่ม 25 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 5,716 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 3,798 ราย มาจากต่างประเทศ 1,918 ราย หายกลับบ้านรวม 4,078 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,578 ราย และเสียชีวิตรวม 60 ราย
ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่แบ่งเป็น 1.ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ากักกัน 14 รายได้แก่ ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา ประเทศละ 3 ราย ซูดาน 2 ราย สวิตเซอร์แลนด์ บาห์เรน เยอรมนี ฝรั่งเศส คูเวต และปากีสถาน ประเทศละ 1 ราย เป็นคนไทย 10 ราย และคนต่างชาติ 4 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ 2.ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 16 รายมีประวัติเชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร เป็นชายไทย 4 ราย และหญิงไทย 12 ราย กระจายในกทม. 5 ราย สระบุรี 3 ราย ปทุมธานีและสมุทรปราการจังหวัดละ 2 ราย ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี อุตรดิตถ์ และนครปฐม จังหวัดละ 1 ราย ผู้ติดเชื้อมีอาการ 11 ราย ส่วนใหญ่มีไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ เสมหะ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส และติดเชื้อไม่มีอาการ 5 ราย และ 3.การติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุก)397 ราย โดยร้อยละ 90 ติดเชื้อไม่มีอาการ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า จากการวิเคราะห์การติดเชื้อโควิด 19 พื้นที่ จ.สมุทรสาคร พื้นที่ไข่แดงที่มีการติดเชื้อสูงคือบริเวณตลาดกลางกุ้ง อัตราการติดเชื้อประมาณร้อยละ 44 บริเวณโดยรอบห่างออกมาการติดเชื้อลดลง คือ ตลาดทะเลไทยร้อยละ 14 และชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13 ร้อยละ 8 โดยมีแผนจะตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจและทยอยรายงานผล สำหรับผู้ที่ไปซื้อสินค้าประจำที่ตลาดกลางกุ้งประมาณพันคนกระจายไปจังหวัดต่างๆ จากการสอบสวนโรคพบเดินทางมาจาก 23 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ นครราชสีมา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สระบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี กทม. สมุทรปราการ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สงขลา และอุตรดิตถ์ เพื่อแจ้งเตือนให้จังหวัดเหล่านี้ ยกระดับการควบคุมป้องกันโรคและค้นหาผู้มีประวัติเสี่ยงเดินทางเข้ามา
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่งช่วง 14 วันก่อนมีอาการ คือ เดินทางมาจากเขตติดโรคหรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง คือ สมุทรสาคร ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรคหรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัยหรือผู้ป่วยยืนยัน และเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน ขอให้มารับการตรวจที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน โดยหากแพทย์พิจารณาว่ามีความเสี่ยง หรือมีอาการโควิด 19 อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยปอดอักเสบ จะได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการตรวจเชิงรุกจะทยอยตรวจให้ได้ 10,300 คนในเบื้องต้น ส่วนที่ไม่ตรวจแรงงานเมียนมาทั้งหมดเป็นแสนคนนั้น ทางระบาดวิทยาระบุว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจทั้งหมด แต่จะเน้นกลุ่มที่มีอาการสงสัย กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มที่เราจะออกแบบเพื่อไปวางระบบในการตรวจเหมือนกรณีการวางแผนสุ่มตรวจที่ จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนในการคงมาตรการ คือ สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ สแกนชื่อด้วยไทยชนะ สำหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรวม 77,715,069 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 534,219 ราย เสียชีวิต 1,708,919 ราย อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 18,473,716 รายอินเดีย 10,075,422 ราย บราซิล 7,264,221 ราย รัสเซีย 2,877,727 ราย ฝรั่งเศส 2,479,151 ราย ขณะที่อาเซียน แนวโน้มประเทศมาเลเซียพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 ราย จึงต้องเฝ้าระวังชายแดนภาคใต้
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า การสอบสวนโรคพื้นที่ จ.สมุทรสาครจากกรณีหญิงไทยอายุ 67 ปี มีการติดเชื้อจากกลุ่มนี้รวม 13 ราย เป็นคนไทย 9 ราย และเมียนมา 4 ราย และขยายการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยคัดกรองแรงงานเมียนมาที่พักอาศัยบริเวณโดยรอบ ได้แก่บริเวณตลาดกลางกุ้งเก็บตัวอย่าง 2,051 ราย ผลบวก 914 รายคิดเป็นร้อยละ 44 อัตราการติดเชื้อสูง เนื่องจากการอยู่อาศัยแบบแออัด และตรวจติดตามสถานที่ที่มีโอกาสพบแรงงานเมียนมาไปทำงานหรือใช้บริการ คือตลาดทะเลไทย เก็บตัวอย่าง 653 ราย พบติดเชื้อ 91 รายคิดเป็นร้อยละ 14 ถือว่าต่ำกว่าจุดเกิดเหตุการณ์ระบาดครั้งแรก 3 เท่า อีกจุดคือชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13 เก็บตัวอย่าง 1,099 ราย ติดเชื้อ 84 รายคิดเป็นร้อยละ 8 การสอบสวนโรคดังกล่าวช่วยให้ยับยั้งลดความเร็วการแพร่เชื้อได้สรุปภาพรวมผลการตรวจค้นหาผู้ป่วยจำนวน 5,066 ตัวอย่าง ผลออก 3,803 ตัวอย่าง พบเชื้อ 1,089 รายคิดเป็นร้อยละ 29 คาดว่าเมื่อมีการตรวจตัวอย่างที่เหลือและรายงานผลเพิ่มจะทำให้อัตราการติดเชื้อลดลง เนื่องจากมีการตรวจในสถานที่ห่างจากศูนย์กลางการระบาดมากขึ้น
สำหรับจังหวัดที่มีผู้ป่วยโควิด 19 เชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง รวม 66 ราย ได้แก่ สมุทรสาคร 39 ราย นครปฐม 6 ราย สมุทรปราการ 3 ราย สระบุรี 3 ราย ฉะเชิงเทรา 1 ราย ปทุมธานี 3 ราย เพชรบุรี 1 ราย อุตรดิตถ์ 1 รายและกทม. 9 ราย โดยทั้งหมดมีประวัติเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง มีเพียง 1 ราย ที่เป็นผู้สัมผัสในครอบครัวของผู้ไปตลาดกลางกุ้ง สำหรับหอพักที่ได้กักกันแยกผู้มีโอกาสรับเชื้อไว้อยู่ในสถานที่พักเพื่อความปลอดภัยของชุมชนโดยรอบ มีทีมแพทย์จากสถาบันบำราศนราดูรและโรงพยาบาลสมุทรสาครเข้าไปดูแลทุกวัน มีการให้ความรู้การดูแลสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่ถูกกักกัน ผู้ที่มีไข้ อาการระบบทางเดินหายใจ จะได้รับการตรวจโดยแพทย์ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีอาการ หากมีอาการมากจะส่งต่อไปโรงพยาบาล ทำให้สามารถบริหารจัดการคนติดเชื้อจำนวนมาก
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการควบคุมโรค เน้นการค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ โดยจะมีการตรวจคัดกรองสถานที่อื่น เช่น ที่พักแรงงานต่างด้าวที่อยู่บริเวณโดยรอบและห่างออกมา การตีวงจำกัดขอบเขตพื้นที่การป้องกันควบคุมโรค ลดความเสี่ยงของชุมชนโดยรอบ ทำให้บริหารจัดการกลุ่มติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เฝ้าระวังเจ็บป่วยและตรวจหาเชื้อกลุ่มที่ยังไม่ได้รับตรวจ สื่อสารความเสี่ยงภาษาไทยและเมียนมา เน้นย้ำการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ หลีกเลี่ยงการไปที่ชุมชน งดการเดินทางที่ไม่จำเป็น สังเกตอาการป่วย คนที่เคยไปอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ให้สังเกตอาการ หากมีอาการขอรับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน และสร้างความร่วมมือภาครัฐภาคเอกชน ประชาชนเพื่อควบคุมการระบาดให้สงบโดยเร็วทั้งนี้ รหัสพันธุกรรมของตลาดแห่งนี้จะเหมือนหรือแตกต่างจากกรณี อ.แม่สอด และ อ.แม่สายหรือไม่ ต้องใช้เวลาในการตรวจอีกประมาณ 2-3 วัน
******************************** 22 ธันวาคม 2563
**************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขับเคลื่อนนโยบาย ปี 2564 มุ่งเน้น 9 เรื่องสำคัญ ด้วยหลักการทำงาน H-SMILE | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
สธ.ขับเคลื่อนนโยบาย ปี 2564 มุ่งเน้น 9 เรื่องสำคัญ ด้วยหลักการทำงาน H-SMILE
กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนนโยบายปี 2564 โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนางานโครงการตามแนวพระราชดำริ โครงการเฉลิมพระเกียรติ และมุ่งเน้น 9 เรื่องสำคัญ โดยใช้หลักการทำงาน H-SMILE พร้อมติดตามความก้าวหน้าทุก 3 เดือน
กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนนโยบายปี 2564 โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนางานโครงการตามแนวพระราชดำริ โครงการเฉลิมพระเกียรติ และมุ่งเน้น 9 เรื่องสำคัญ โดยใช้หลักการทำงาน H-SMILE พร้อมติดตามความก้าวหน้าทุก 3 เดือน
วันนี้ (22 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคำรับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจำปี 2564ของผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) ซึ่งได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติงาน เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดนำไปเป็นแนวทางการดำเนินงาน โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนางานสาธารณสุขโครงการตามแนวพระราชดำริ โครงการเฉลิมพระเกียรติ และมีนโยบายที่มุ่งเน้น 9 เรื่องสำคัญ คือ ยกระดับระบบบริการปฐมภูมิ และอสม. ให้คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมด้านสุขภาพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ สนับสนุนการเข้าถึงสมุนไพร กัญชา กัญชง เพื่อสุขภาพได้อย่างครอบคลุม ปลอดภัย มุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบ New Normal เน้นอาหาร ออกกำลังกาย เพื่อการมีสุขภาพดี รองรับวิกฤติโรคโควิด 19 และโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผลักดัน 30 บาท รักษาทุกที่ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ลดความแออัด ลดรอคอย ด้วยการแพทย์วิถีใหม่ มุ่งเน้นดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในกลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ พร้อมทั้งพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตเชิงรุก ให้หลักธรรมาภิบาลบริหารงาน และองค์กรต้นแบบสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน สามารถดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างยั่งยืนปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ (2P Safety)
สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ใช้หลักการทำงาน H–SMILE คือ Health: บุคลากรเป็น Health Model ที่ดี ใส่ใจสุขภาพประชาชน Seamless: ทำงานไร้รอยต่อทุกพื้นที่ ทุกมิติ Mate: มีเพื่อน มีทีม มีเครือข่าย Integrate: คิดและทำอย่างบูรณาการด้วยเป้าหมายเดียวกัน Life: เป็นองค์กรคุณภาพ สร้างคน สร้างงาน ด้วยใจและปัญญา และ Encourage: เสริมพลัง เพื่อก้าวผ่านความท้าทายนำไปสู่ “คนไทยแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง”
ทั้งนี้ การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ หรือ PA ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารงานให้เกิด ความสำเร็จตามเป้าหมาย และทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน
*********************************** 22 ธันวาคม 2563
****************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37817 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดให้ผู้ประกันตนเลือกเปลี่ยน รพ. ประจำปี 64 | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
เปิดให้ผู้ประกันตนเลือกเปลี่ยน รพ. ประจำปี 64
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตนสามารถแจ้งขอเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลประจำปี 2564 ด้วยเหตุจำเป็นไม่ได้รับความสะดวก ในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้ เช่น ย้ายที่พักอาศัย ย้ายสถานที่ทำงาน โดยสามารถแจ้งเปลี่ยนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ หรือทำรายการผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ของสำนักงานประกันสังคม ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มี.ค. 64 หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือโทร.สายด่วน 1506
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37796 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน รับใน “หลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ” ของ UNEP FI | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
ออมสิน รับใน “หลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ” ของ UNEP FI
ธนาคารออมสิน ย้ำจุดยืนการเป็นธนาคารเพื่อสังคม ลงนามรับใน “หลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ” ของสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มทางการเงิน หรือ UNEP Finance Initiative : UNEP FI ถือเป็นแบงก์รัฐแห่งแรก ที่ร่วมรับหลักการ
ธนาคารออมสิน ย้ำจุดยืนการเป็นธนาคารเพื่อสังคม ลงนามรับใน “หลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ” ของสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มทางการเงิน หรือ UNEP Finance Initiative : UNEP FI ถือเป็นแบงก์รัฐแห่งแรก ที่ร่วมรับหลักการ เพื่อยกระดับการดำเนินการเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลของธนาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยวางเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 ด้านหลัก คือ ลดความยากจน และ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะความเสียหายต่อทรัพยากรทางธรรมชาติ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และปัญหาการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสในองค์กร ส่งผลให้โลกได้หันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ที่เน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพและคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
ธนาคารออมสินตระหนักถึงการมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment Social and Governance : ESG) เพื่อที่จะก้าวสู่การเป็นธนาคารที่ยั่งยืน (Sustainable Banking) จึงเข้าร่วมเป็นสมาชิก “สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มทางการเงิน หรือ UNEP Finance Initiative (UNEP FI)” เพื่อเข้าร่วมรับใน “หลักการเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ” หรือ “Principles for Responsible Banking (PRB)” โดยถือเป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งแรกของไทยที่เข้าร่วมสนับสนุนหลักการดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 6 หลักการ คือ
1. การดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Alignment)
2. การกำหนดเป้าหมายที่เพิ่มผลกระทบเชิงบวกหรือลดผลกระทบเชิงลบ (Impact & Target Setting)
3. การให้บริการลูกค้าด้วยความรับผิดชอบ (Clients & Customers)
4. การร่วมดำเนินงานกับผู้มีส่วนได้เสียด้วยความรับผิดชอบ (Stakeholders)
5. การมีธรรมาภิบาลและการปลูกฝังวัฒนธรรมการเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ (Governance & Culture)
6. เป็นองค์กรที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ (Transparency & Accountability)
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินได้วางเป้าหมายที่จะมุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank อย่างเต็มรูปแบบ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal หรือ SDGs) 2 ด้านหลัก คือ ด้านที่ 1ลดความยากจน และด้านที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สังคม ตามแนวคิด “Making POSITIVE Impact on Society” โดยจะดูแลลูกค้าและประชาชน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย (พ่อค้าแม่ค้า) และองค์กรชุมชน ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนภายใต้ดอกเบี้ยที่เป็นธรรม สนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ พัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยและชุมชนอย่างครบวงจร และส่งเสริมการออมและพัฒนาทักษะทางการเงิน เพื่อที่จะยกระดับรายได้ของประชาชนและต่อยอดการเจริญเติบโตให้กับผู้ประกอบการรายย่อย อันเป็นภารกิจสำคัญที่ธนาคารฯ มีความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ที่ได้ดูแลกลุ่มลูกค้านี้อย่างใกล้ชิดมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน
นายวิทัย กล่าวในตอนท้ายว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิก UNEP FI และการยึดมั่นต่อ “หลักการเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ (PRB)” ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำจุดยืนของธนาคารออมสินในการเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” ในฐานะสถาบันการเงินที่เติบโตเคียงข้างประชาชน และประเทศชาติ ที่สืบทอดปณิธานที่มีมาตลอดระยะเวลา 107 ปี โดยธนาคารจะปรับภารกิจและกระบวนการทุกด้านให้สอดคล้องกับการเป็นธนาคารเพื่อสังคม เพื่อมุ่งให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น การร่วมลงทุนในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมถึงการร่วมมือกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย ในการส่งเสริมให้ธุรกิจเพื่อสังคมประสบความสำเร็จในการประกอบการ ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหา พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่การทำภารกิจเชิงพาณิชย์จะเป็นกิจการรองเพื่อสร้างกำไรที่จะนำมาสนับสนุนภารกิจด้านสังคม รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งทางการเงินด้วยการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ให้ความสำคัญด้านคุณภาพมากกว่าการเติบโตด้วยปริมาณ ซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทำให้องค์กรเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr78/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37814 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสนับสนุนหมู่บ้านรักษาศีล 5 เชิญชวนประชาชนร่วมกันทำความดี กตัญญูต่อแผ่นดินและสถาบันของชาติ | วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสนับสนุนหมู่บ้านรักษาศีล 5 เชิญชวนประชาชนร่วมกันทำความดี กตัญญูต่อแผ่นดินและสถาบันของชาติ
นายกรัฐมนตรีสนับสนุนหมู่บ้านรักษาศีล 5 เชิญชวนประชาชนร่วมกันทำความดี กตัญญูต่อแผ่นดินและสถาบันของชาติ
วันนี้ (22 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผลิตภัณฑ์จากชุมชุนต้นแบบ ได้แก่ ส้มโอ ยาหม่อง และเมี่ยงคำ โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีสนับสนุนให้มีการดำเนินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบ อย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลต้องการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาล บ้าน วัด ราชการ “บวร” ให้เป็นหนึ่งในโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ช่วยให้เกิดความสงบ สันติสุข ความสามัคคี กลมเกลียวสมานฉันท์ของคนในชาติ ทั้งนี้ การเกิดความรัก สามัคคี ต้องมีศีลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงความกตัญญูต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ยังถือเป็นคุณธรรมของแผ่นดินร่วมกัน
.................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37802 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ช่วยชาวใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก ด้วย 7 มาตรการ ทั้งพักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง และจ่ายค่าสินไหมด่วน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ธอส.ช่วยชาวใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก ด้วย 7 มาตรการ ทั้งพักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง และจ่ายค่าสินไหมด่วน
ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงพร้อมบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าประชาชนด้วย “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” (กรอบวงเงินรวมของโครงการ 100 ล้านบาท)
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 7 มาตรการช่วยเหลือชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ประกอบด้วย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชำระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร และ 7) พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ จ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน และกรณีกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 เพิ่มความคุ้มครองตามความเสียหายจริงแต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ติดต่อขอใช้มาตรการถึง 30 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า ในบริเวณพื้นที่ภาคใต้ ได้เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก หลังจากเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนมีผลให้ที่อยู่อาศัยเกิดความเสียหายและประชาชนได้รับผลกระทบในด้านการประกอบอาชีพ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงพร้อมบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าประชาชนด้วย “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” (กรอบวงเงินรวมของโครงการ 100 ล้านบาท) โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) ของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัยสามารถขอลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ เดือนที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี เดือนที่ 17-24 อัตราดอกเบี้ย 4.15% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR -1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR - 0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชำระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี)
มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคาร ที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้นกรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี
สำหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการยื่นกู้ตามมาตรการที่ 2 ธนาคารกำหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน และยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ค่าตรวจสอบหลักประกันค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้
มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้
มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น
มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความ เสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการของ“โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37248 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เปิดสัมมนาประจำปี “Thailand HR Day 2020 ณ โรงแรมเซ็นทรารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
รมว.แรงงาน เปิดสัมมนาประจำปี “Thailand HR Day 2020 ณ โรงแรมเซ็นทรารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานเปิดงานสัมมนาประจำปี ” “วันนักบริหารงานบุคคลแห่งประเทศไทย ประจำปี 2563” ” ภายใต้ชื่อ “Building Organizational Resilience : HR & the Future Strategy on Transformation”
วันที่ 2 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาประจำปี ” “วันนักบริหารงานบุคคลแห่งประเทศไทย ประจำปี 2563” ” ภายใต้ชื่อ “Building Organizational Resilience : HR & the Future Strategy on Transformation” นักทรัพยากรมนุษย์กับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อมุ่งเน้นการนำเสนอแนวทาง องค์ความรู้ และสร้างความเข้าใจในเรื่องการปรับเปลี่ยนบทบาทการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยมี ดร.บวรนันท์ ทองกัลยา นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย กล่าวรายงาน พร้อมมอบรางวัลโครงการ Thailand HR Innovation Award 2020 ณ ห้องวิภาวดี แกรนด์ บอลรูม โรงแรมเซ็นทรารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ และ องค์กร กำลังเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งภายในและภายนอกองค์กรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ความท้าทายทวีความรุนแรง และ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไป อีกอย่างน้อย 3-5 ปี ในสภาวการณ์เช่นนี้องค์กรจึงมีระยะเวลาที่สั้นลง ในการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับบริบทที่ผันผวน กลยุทธ์ วิธีการ ที่เคยใช้มาในอดีตอาจไม่ตอบสนองให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ สมรรถนะสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้ New Normal และ เพื่อการเตรียมพร้อมสู่ Next Normal นอกจากการลุกขึ้นได้เร็ว เมื่อประสบปัญหา การปรับตัวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวได้ทันเวลา และความสามารถในการต้านทานภาวะฉุกเฉิน รวมถึงความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤตได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่องค์กร ในศตวรรษ ที่ 21 ต้องบรรลุให้ได้ ไม่เพียงแต่ในระดับธุรกิจ และองค์กรเท่านั้นที่จะต้องแสวงหาแนวทางในการสร้างให้องค์กรมีความสามารถในการปรับตัว การสร้างสมรรถนะความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นสำหรับบุคลากรขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
“ขอให้ท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิดค้นนวัตกรรมการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีพลังแรงกาย พลังความคิด และมีความมุ่งมั่นในการรักษาคุณความดีและพัฒนากิจกรรมที่ดำเนินการอยู่ให้เกิดความเป็นเลิศยิ่งขึ้นไป” นายสุชาติ กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37227 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ขยายเวลาการรับจองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม ศกนี้ | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
กรมธนารักษ์ขยายเวลาการรับจองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม ศกนี้
กรมธนารักษ์ขยายเวลาการรับจองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2563 เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนได้สักการะบูชาพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ เป็นที่ยึดเหนียวจิตใจ และทั้วถึง
กรมธนารักษ์ขยายเวลาการรับจองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2563 เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนได้สักการะบูชาพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ เป็นที่ยึดเหนียวจิตใจ และได้มีเหรียญที่ระลึกดังกล่าวอย่างทั่วถึง
วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) ณ กรมธนารักษ์ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ตามที่กรมธนารักษ์ได้เปิดให้จองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 2 – 30 พฤศจิกายน 2563 นั้น เนื่องจากว่ามีข้าราชการและประชาชนยังมีความต้องการในการจองเหรียญที่ระลึกดังกล่าว เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกและสักการะบูชาพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ อีกเป็นจำนวนมาก กรมธนารักษ์จึงขยายเวลาการรับจองต่อไปอีกจนถึง วันที่ 9 ธันวาคม 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ชนิดเหรียญ ราคาจำหน่าย (บาท)
1. เหรียญเงินรมดำพ่นทรายพิเศษ เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 18 กรัม ราคาจำหน่าย 3,000 บาท
2. เหรียญทองแดงรมดำพ่นทรายพิเศษ เส้นผ่าศูนย์กลาง 70 มิลลิเมตร น้ำหนัก 150 กรัม ราคาจำหน่าย 3,000 บาท
3. เหรียญทองแดง เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม ราคาจำหน่าย 100 บาท
นายยุทธนาฯ กล่าวต่อว่า ผู้ที่สั่งจองเหรียญที่ระลึกพระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติ 88 ปี กรมธนารักษ์ ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมผ่านการสั่งจองเหรียญ เนื่องด้วยกรมธนารักษ์จะนำเงินรายได้จากการจำหน่ายเหรียญที่ระลึกหลังหักค่าใช้จ่าย เพื่อใช้การสาธารณกุศลต่างๆ เช่น การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ การพัฒนาชุมชนให้มีความน่าอยู่ และส่งเสริมการศึกษาให้ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยกรมธนารักษ์ได้จัดพิธีเทวาภิเษก (พิธีอธิษฐานจิต) ณ พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร ในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 เวลา 13.29 น. และสามารถทยอยจัดส่งเหรียญที่ระลึกดังกล่าวให้ผู้สั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
สำหรับผู้ที่สนใจสั่งจองเหรียญที่ระลึกดังกล่าว กรมธนารักษ์จองได้ที่ กองบริหารการคลัง กองกษาปณ์ กองบริหารเงินตรา กองส่งเสริมและพัฒนาทรัพย์สินมีค่าของรัฐ หน่วยงานส่วนกลางของกรมธนารักษ์ และสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ ทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-059-4999 นายยุทธนากล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37217 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- บีโอไอร่วมผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางธุรกิจ Life Science | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
บีโอไอร่วมผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางธุรกิจ Life Science
บีโอไอร่วมผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางธุรกิจ Life Science
บีโอไอร่วมผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางธุรกิจ Life Science
นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) พร้อมด้วยทีมผู้บริหารของบีโอไอ ร่วมหารือกับกลุ่ม Thailand Life Science Cluster นำโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELs สมาคม Thai Bio และผู้ประกอบการชั้นนำด้านธุรกิจ Life Scienceเพื่อหารือแนวทางส่งเสริมและผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนในธุรกิจ Life Science ณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 ประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เน้นย้ำ “8 แนวทางป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564” | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
มท.2 ประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เน้นย้ำ “8 แนวทางป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564”
มท.2 ประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เน้นย้ำ “8 แนวทางป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564”
วันนี้ (2 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 4/2563 โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ร่วมการประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด และระบบ Video Streaming ไปยังอำเภอทุกอำเภอ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ขนส่งจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
นายนิพนธ์ บุญญามณี เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนในวันนี้ เป็นการย้ำเตือนมาตรการด้านความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนนด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ระหว่างวันที่ 10 – 13 ธันวาคม 2563 และในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2564 (7 วันอันตราย) ซึ่งทุกจังหวัดและอำเภอจะได้ซักซ้อมและเตรียมการนำเอามาตรการต่าง ๆ ตามที่ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันไปสู่การปฏิบัติ โดยขอให้ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือกันและถอดบทเรียนความสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาโควิด-19 มาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการกำหนดมาตรการลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อทุกฝ่ายได้ร่วมกันเร่งรัดและหามาตรการลดการบาดเจ็บและลดความสูญเสียร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 จะมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนน 12 คนต่อประชากร 100,000 คน
โดยในที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนบริเวณจุดตัดทางรถไฟ ทั่วประเทศ โดยใช้กลไกคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟประจำจังหวัดหาแนวทางในการลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ และเห็นชอบการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ภายใต้ชื่อ "ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ" มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ตั้งเป้าหมายจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ลดลงให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง
จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ชุมพร พิจิตร และศรีสะเกษ ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ระหว่างวันที่ 10 – 13 ธันวาคม 2563 และช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ครอบคลุมทั้งทางบก และทางน้ำ รวมทั้งแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
สุดท้าย นายนิพนธ์ บุญญามณี ได้มอบแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 8 แนวทาง ได้แก่ 1) ให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 โดยร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตามกรอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 รวมทั้งให้นำแนวทางการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)มาดำเนินการ 2) ให้เน้นการดำเนินงานในพื้นที่ภายใต้แนวคิด การยึดพื้นที่เป็นที่ตั้ง (Area Approach) โดยใช้กลไกที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ 3) ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจังและต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ช่วงควบคุมเข้มข้น และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการ “ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์” กรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรงทุกราย และให้ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ได้สั่งการอย่างเคร่งครัด 4) ให้อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เร่งการระบายการจราจร และพิจารณาเปิดช่องทางจราจรพิเศษ เพื่อให้การเดินทางเกิดความปลอดภัยและคล่องตัว พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบสภาพการจราจร ทางเลี่ยง ทางลัด และหมายเลขสายด่วน 5) ให้นำข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่มาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแนวทางมาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ตรงกับสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ 6) ให้จังหวัดสั่งการผู้นำชุมชน กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ประสานการดำเนินการกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่โดยใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนอย่างเคร่งครัด เพื่อเฝ้าระวังตรวจตราป้องปรามและตักเตือนบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน 7) ห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในพื้นที่จัดงานในพื้นที่กิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และให้จัดตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ บริเวณโดยรอบพื้นที่เพื่อป้องปรามผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ดื่มแล้วขับและการสวมหมวกนิรภัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และ 8) ให้ผู้บังคับบัญชาเป็นแบบอย่างที่ดีในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2554 และกำหนดแผนการออกตรวจติดตามการดำเนินงานในพื้นที่เพื่อติดตามการดำเนินงานตรวจเยี่ยม เสนอแนะ รับทราบปัญหา และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยันการดำเนินการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ทุกขั้นตอนโปร่งใส | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
สธ. ยันการดำเนินการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ทุกขั้นตอนโปร่งใส
สธ. ยันการดำเนินการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ทุกขั้นตอนโปร่งใส
กระทรวงสาธารณสุขยืนยันการดำเนินการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้คนไทยโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน มีมาตรการเข้มป้องกันการทุจริต มีการนำไปใช้อย่างเหมาะสม กลุ่มเป้าหมายเพื่อรับวัคซีน จะมีคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบ
วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ พร้อมด้วยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงความคืบหน้าการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 โดย นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวว่า จากกรณีมีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ การดำเนินการเรื่องวัคซีนโควิด 19 ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้นได้ในขั้นตอนการนำไปฉีด ขอยืนยันว่ารัฐบาลมีการจัดหาที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ มีการจองซื้อ และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อผลิตและนำมาฉีดให้กับคนไทยจำนวน 26 ล้านโดส ทั้งหมดไม่ได้จัดส่งในครั้งเดียว ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค ได้ร่วมกันจัดเตรียมแผนไว้อย่างครบถ้วน ในการกระจายวัคซีน สำหรับประเด็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อรับวัคซีน จะมีคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบ โดยพิจารณาจากปัจจัย เช่น ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ความรุนแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิต เช่นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ มีโรคประจำตัว รวมถึงมีข้อกำหนดและการควบคุมการนำไปฉีดที่ชัดเจน
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการวัคซีนหลังได้มา คุณภาพของวัคซีนจะพิจารณาตั้งแต่ทำการทดลองสำเร็จ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะร่วมตรวจสอบทุกล็อตที่ส่งมอบ เพื่อให้มั่นใจว่าวัคซีนที่รับมามีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ระบบขนส่งจะมีระบบลูกโซ่ความเย็น อยู่ในอุณหภูมิที่กำหนดทำให้วัคซีนไปถึงปลายทางต้องมีคุณภาพเท่ากับตอนที่ผลิตจากโรงงาน ด้านความปลอดภัยของวัคซีนในระยะทำการทดลองฉีด อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ไข้ เจ็บ ปวดบวม จนกระทั่งผลขั้นร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีระบบติดตามตรวจสอบตามหลักสากล (AEFI) ขณะที่ความมั่นคงความปลอดภัยการบริหารจัดการวัคซีน จะมีการควบคุมดูแลกำกับอย่างเข้มข้นเป็นระบบเพื่อป้องกันการทุจริตหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และให้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครบถ้วนที่สุด เกิดปัญหาน้อยที่สุด
ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณสนับสนุน การจัดหาวัคซีนเบื้องต้น 26 ล้านโดส เพื่อทยอยจัดให้กับประชาชนตามกลุ่มเป้าหมาย เป็นการจองซื้อกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมกับ ออกซฟอร์ด เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับประเทศ ซึ่งเป็นหลักประกันว่าจะมีวัคซีนมาฉีดให้กับคนไทยอย่างแน่นอน โดยมี บริษัท สยามไบโอไซเอนส์ จำกัด เป็นผู้ผลิต ทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนไม่ได้นำเข้า นับเป็นส่วนสำคัญเนื่องจากการผลิตวัคซีนโควิด 19 และเทคโนโลยีที่ได้รับเป็นศักยภาพของประเทศเป็นความมั่นคงด้านสุขภาพ ในการรับมือกับโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายแพทย์นคร กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีโอกาสจัดหาวัคซีนเพิ่มขึ้นจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ผ่านบริษัท สยามไบโอไซเอนส์ จำกัด หรือ บริษัทอื่น ซึ่งการเจรจาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวัคซีน ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดูเงื่อนไข ข้อดีข้อเสียและข้อตกลงเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ได้รับวัคซีนทันเวลาไม่ล่าช้า มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันโรค อย่างไรก็ตามภาครัฐยังมีแผนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 อื่นๆ รองรับการวิจัยในประเทศยังคงเดินหน้าต่อไป เครือข่ายวิจัยวัคซีนในประเทศทั้ง มหาวิทยาลัย ภาครัฐ เอกชน เพื่อการได้มาของวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
************************* 2 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37245 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 1 ปีดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว 61 ราย | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส เผยตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 1 ปีดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว 61 ราย
ดีอีเอส เผยตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 1 ปีดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว 61 ราย
ดีอีเอสจัดเวที"สร้างการรับรู้เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม"เผยผลการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมร่วมกับศปอส.ตร.ปีแรกดำเนินคดีผู้กระทำผิด61รายขณะที่ช่วง11เดือนแรกของปี63จับกุมผู้โพสต์ข่าวปลอมบนโซเชียลไปแล้ว104รายพร้อมแนะวิธีการ12ข้อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวปลอมได้ด้วยตัวเอง
นายภุชพงค์ โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าการจัดสัมมนา"สร้างการรับรู้เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม"ภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมวันนี้(2ธันวาคม2563)เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการสร้างงานรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไปครอบคลุม5ภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันสื่อในยุคดิจิทัลมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหาข่าวปลอมและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง
ที่ผ่านมาการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเน้นบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องแก่ประชาชนและได้ร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ(PCT) (ศปอส.ตร.)สำนักงานตำรวจแห่งชาติระดมทุกกลยุทธ์เพื่อให้ประชาชนคนไทยรู้เท่าทันสื่อลวงทั้งในแง่ของการจัดการกับข่าวปลอมและการปราบปรามดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมายโดยเน้นข่าวที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน4กลุ่มข่าวคือกลุ่มภัยพิบัติกลุ่มเศรษฐกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ และกลุ่มนโยบายรัฐบาล
โดยจากการทำงานร่วมกับศปอส.ตร.ตลอดระยะเวลาราว1ปีนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ฯ(1พ.ย.62-30พ.ย.63)มีการส่งเคสเกี่ยวกับข่าวปลอมและบิดเบือนเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของศปอส.ตร.ทั้งสิ้น660เรื่องและมีการดำเนินคดี26เรื่องรวมผู้กระทำความผิด61รายแบ่งเป็นการดําเนินคดีตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ14เรื่องจำนวน21รายและการดําเนินคดีตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน12เรื่องจำนวน40รายและมีจำนวนเคสที่ทำการประชาสัมพันธ์96รายรวมเคสที่ดำเนินการแล้ว157รายโดยมีจำนวนเป้าหมายที่เข้าทำการตรวจค้นตามหมายศาล53หมาย
ด้านผลการดำเนินงานช่วง11เดือนที่ผ่านมา(1ม.ค.-30พ.ย. 63)มีการจับกุมผู้โพสต์ข่าวปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ไปแล้ว20ครั้งจำนวน104รายรวมทั้งเห็นแนวโน้มการกระทำผิดในคดีประเภทนี้เริ่มลดลงซึ่งเป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง
นายภุชพงค์กล่าวว่าสำหรับการจัดสัมมนาสร้างการรับรู้ฯที่ผ่านมา3ครั้งได้รับข้อเสนอแนะที่น่าสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมได้แก่ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับทางการแพทย์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ควรประสานงานอย่างจริงจังกับสื่อรายใหญ่โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ในการกระจายข่าวสารสร้างการรับรู้ในสังคมได้ ควรมีวิธีการสอนให้ผู้ปกครองทราบวิธีปิดกั้นโฆษณาในเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับเว็บโป๊เว็บพนันเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงเป็นต้น
ขณะที่ในส่วนของเครือข่ายผู้ประสานงานได้นำเสนอความต้องการเพื่อปรับปรุงระบบประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานด้านข่าวปลอมโดยเฉพาะการพัฒนาฟังก์ชั่นที่สนับสนุนกระบวนการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือเช่น สามารถLoginเข้าใช้งานระบบและตอบแบบฟอร์มใช้งานผ่านทางโทรศัพท์เพื่อความสะดวกและแนะนำให้ควรมีการอัพเดตสถานะของเคสหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบกับหน่วยงานเจ้าของเรื่องนั้นๆและเผยแพร่แล้วเป็นต้น
“ปัจจุบันสื่อออนไลน์มีบทบาทต่อผู้บริโภคข่าวสารอย่างมากเนื่องจากผู้บริโภคมีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากหลายช่องทางโดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆซึ่งมีทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องแม้ว่าสื่อสังคมออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข่าวสารอย่างไรก็ตามเราควรให้ความสำคัญและระมัดระวังอย่างมากในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ทั้งด้านของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการแชร์ข้อมูล”นายภุชพงค์กล่าว
ดังนั้นเพื่อให้มีการใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทันและสร้างสรรค์สามารถรับข้อมูลที่ถูกต้องผู้บริโภคควรเลือกเสพข่าวจากหลายช่องทางและอยากรณรงค์ให้ประชาชนใช้วิธีการ12ข้อดังต่อไปนี้ในการตรวจสอบข่าวปลอมได้แก่ 1.อ่านข่าวทั้งหมดโดยไม่เชื่อพาดหัวข่าวเพียงอย่างเดียว2.ตรวจสอบURLของเว็บไซต์ที่นำมาเผยแพร่3.ตรวจสอบแหล่งที่มาตัวตนของผู้เขียน4.ดูความผิดปกติของตัวสะกดภาษาที่ใช้หรือการเรียบเรียง
5.พิจารณาภาพประกอบข่าว6.ตรวจสอบวันที่ของการเผยแพร่ข่าว7.ตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาใช้8.หาข้อมูลเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น9.ตรวจสอบว่าข่าวสารที่ส่งต่อกันมามีวัตถุประสงค์ใด10.พิจารณาความสมเหตุสมผลของข่าว11.ตรวจสอบอคติของตนเองและ12.หากมีคำถามหรือข้อสงสัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
นายภุชพงค์กล่าวว่าในปี2564กระทรวงดิจิทัลฯและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเตรียมแผนการดำเนินการสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องทั้งการเติมความรู้โดยจะผลิตสื่อที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเช่นวิดีโอต่างๆที่สอดคล้องกับ4กลุ่มข่าว,สื่อไวรัลที่อยู่ในกระแสของสังคม,พัฒนาระบบในการใช้ตรวจสอบข่าวปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามยุคสมัยและขอความร่วมมือกับสำนักข่าวเป็นต้น
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37246 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” รับข้อเสนอ7 เรื่องเพื่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน จากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” รับข้อเสนอ7 เรื่องเพื่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน จากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
“สุชาติ” นำทีมผู้บริหารกระทรวงแรงงานรับหนังสือข้อเสนอ 7 เรื่อง เพื่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) พร้อมมอบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) รับช่วงต่อ ไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทวงแรงงาน รับหนังสือข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน 7 เรื่อง จากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่นำมาโดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะรวม 60 คน พร้อมกันยื่นหนังสือบริเวณโถงอาคารกระทรวงแรงงาน ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวประกอบด้วย (1) การปรับเพิ่มสิทธิลาคลอดบุตรจากเดิม 90 วันเป็นไม่เกิน120 วัน (2) การจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบให้แก่ลูกจ้าง กรณีเสียชีวิตก่อนการเกษียณอายุ (3) การปรับปรุงสัดส่วนของคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดย คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ให้มีสัดส่วนเท่ากัน (4) การกำหนดให้วันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นวันหยุดตามกฎหมาย (5) การแก้ไขปรับปรุงประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องการจ่ายเงินทดแทน (6) การแก้ไขปัญหากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบร้อยละ 15 (เต็มเพดาน) และสุดท้าย (7) ขอให้ทบทวนร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.... ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) รับช่วงไปพิจารณาดำเนินการต่อ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้กรมจะได้นำข้อเสนอของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์นำเสนอต่อคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งต้องประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37253 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแจงข้อสงสัยในการเปิดประเทศ | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแจงข้อสงสัยในการเปิดประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแจงข้อสงสัยในการเปิดประเทศ
1 ธันวาคมพ.ศ. 2563นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงข้อสงสัย รัฐบาลแอบเปิดประเทศว่าจากประกาศการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยที่ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ได้มีการยกเว้นให้อากาศยานบางประเภททำการบินเข้าประเทศไทยได้ อาทิ เที่ยวบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลำเนา (repatriation flight) หรือเที่ยวบินขนส่งสินค้า (cargo flight) ไม่ได้เป็นการปิดน่านฟ้าหรือปิดประเทศโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด และได้มีการยกเลิกประกาศดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่ในช่วงที่มีการห้ามอากาศยาน กระทรวงฯ ได้อาศัยช่องทางอากาศยานที่ได้รับการยกเว้นในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยที่ตกค้างในต่างประเทศเดินทางกลับไทย รวมถึงคนต่างชาติที่ตกค้างในประเทศไทยกลับภูมิลำเนา และต่อมา ก็มีมาตรการผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นเดินทางเข้าประเทศไทยในจำนวนจำกัดมาเป็นลำดับ
กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานที่พิจารณาคำขอของชาวต่างชาติที่เข้าเงื่อนไขในกลุ่มต่าง ๆ เพื่อออกหนังสือรับรองเพื่อเดินทางเข้าราชอาณาจักร (Certificate of Entry – COE) และตรวจลงตราให้แก่ชาวต่างชาติก่อนเดินทางเข้าไทย โดยชาวต่างชาติต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องในการขอรับการตรวจลงตราประเภทนั้น ๆ และหลักฐานการจอง Alternative State Quarantine (ASQ) มาแสดง รวมถึงก่อนเดินทางต้องแสดงเอกสารใบรับรองแพทย์ fit to fly/travel และ Covid-free ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางด้วย โดยชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้าไทยต้องเข้ารับการกักกันตามระยะเวลาและในสถานที่ที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดหรือเห็นชอบ กระทรวงการต่างประเทศได้มีเครื่องมือเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ อาทิ (1) การบริหารจัดการเที่ยวบินในลักษณะกึ่งพาณิชย์ (semi-commercial flight) ที่จัดทำแนวทางร่วมกับ กพท. ให้สายการบินพาณิชย์สามารถให้บริการเที่ยวบินแบบกึ่งพาณิชย์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้เดินทางเข้าไทย (2) ทางการอนุญาตให้มีการตรวจลงตรา (วีซ่า) ประเภทต่าง ๆ เช่น รหัส TR และ STV สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยว รหัส Non-Immigration B สำหรับกลุ่มนักธุรกิจและการทำงาน รหัส O-A และ O-X สำหรับกลุ่มที่เดินทางเข้ามาเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย เป็นต้น ซึ่งมีชาวต่างชาติให้ความสนใจขอรับการตรวจลงตราเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และ (3) กระทรวงฯ ได้ผลักดันให้มีการเพิ่มจำนวน ASQ เพื่อรองรับผู้เดินทางเข้าประเทศที่แนวโน้มจะมีจำนวนมากขึ้น โดยในขณะนี้มี ASQ แล้ว 113แห่ง สามารถรองรับผู้เดินทางเข้าได้ถึงประมาณ 15,000 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการการเดินทางเข้าประเทศไทยสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติผ่านสื่อมวลชนมาโดยตลอด รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่ออำนวยความสะดวกคนไทยและชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยโดยสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศก็เป็นข้อมูลเปิดต่อสาธารณะ โดยครั้งล่าสุดอธิบดีกรมสารนิเทศ/โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชนและถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งได้มีการออกข่าวสารนิเทศ ระบุจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในแต่ละกลุ่ม นอกจากนี้ ในการประชุม ศบค. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทุกครั้ง ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ผลการประชุมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ให้สาธารณชนทั้งไทยและต่างชาติ ทราบในวงกว้างแล้วด้วย
ขณะเดียวกัน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ยืนยันว่า หลังจากรัฐบาลมีนโยบายเปิดรับคนไทยกลับประเทศ ทำให้มีคนไทยทยอยเดินทางกลับเข้าประเทศโดยทุกคนต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และสถานที่รัฐกำหนด เพื่อควบคุม เฝ้าระวังการแพร่ระบาด เป็นเวลา14วันเมื่อพบว่าป่วย สามารถส่งต่อเข้าระบบการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีการแพร่ระบาดแต่อย่างใด ข้อมูลตั้งแต่วันที่3เมษายน ถึง1 ธันวาคม 2563 มีผู้เดินทางเข้าประเทศรวม163,735คน ทุกคนเข้ารับการกักตัวที่รัฐระบุไว้ ในจำนวนนี้ตรวจพบเชื้อโควิด 19 จำนวน 1,044 รายคิดเป็นร้อยละ 0.64 ของผู้เดินทางทั้งหมดในจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นคนไทย 826 ราย ต่างชาติ218รายกลับบ้านแล้ว910 ราย มีผู้เสียชีวิต2 รายปัจจุบัน มีผู้เดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยวันละ700 - 800คน เมื่อเทียบกับในอดีตที่ยังไม่มีการระบาดของโควิด 19 มีการเดินทางเข้ามาวันละประมาณ 1 แสนรายซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่ได้มีการปิดบังแต่อย่างใด ทาง ศบคได้แจ้งข้อมูลการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกประเทศ และรายงานในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทางเว็บไซต์กรมควบคุมโรค อย่างต่อเนื่องทุกวัน
....................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37224 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ติวเข้มเจ้าหน้าที่ ด้านการป้องกันและปราบปรามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
กกจ. ติวเข้มเจ้าหน้าที่ ด้านการป้องกันและปราบปรามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์
กรมการจัดหางาน จัดฝึกอบรมโครงการคุ้มครองป้องกันการหลอกลวงและลักลอบไปทำงานต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หลักสูตรการอบรมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน (ขั้นพื้นฐาน)
เน้นเพิ่มความรู้ด้านกฎหมายและทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ให้รู้เท่าทันกลโกงสาย/นายหน้าเถื่อน โดยเฉพาะการหลอกลวงคนหางานไปทำงานในต่างประเทศผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 1 – 3 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรม เดอะ พาลาสโซ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ปัญหาการหลอกลวงคนหางานและลักลอบไปทำงานต่างประเทศเป็นปัญหาที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขอย่างจริงจัง เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร และสื่อสังคมออนไลน์ได้มีผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้สาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน ใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊กและไลน์ ในการโฆษณาการจัดหางานไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งผู้ถูกหลอกลวงจะต้องเสียเงินค่าใช้จ่าย โดยที่ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กหรือไลน์ การหลอกลวงมีความแยบยลและซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองคนหางานของกรมการจัดหางาน จะต้องก้าวทันกับลักษณะ รูปแบบการหลอกลวงคนหางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การรวบรวมเอกสารหลักฐาน การวินิจฉัยคำร้องทุกข์ การรายงานการสืบสวน การร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยจะต้องมีความละเอียด รอบคอบ และมีทักษะด้านการสืบข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น
“กรมการจัดหางาน จึงได้จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสี่อสังคมออนไลน์ ทั้งจากสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด และกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โดยวิทยากรจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองนิติการ กรมการจัดหางาน เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ความสามารถด้านการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวงคนหางานให้ทันต่อสถานการณ์ มีการประสานความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือ เบาะแสผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน เพื่อหาแนวทางป้องกัน โดยประสานความร่วมมือกับคนหางาน ผู้นำชุมชน และประชาชนอย่างต่อเนื่อง” นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศต้องเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ค่าจ้าง รายละเอียดเงื่อนไขในการทำงาน และประเทศที่จะไปก่อนตัดสินใจจ่ายเงินให้กับผู้ใด โดยขอรับคำปรึกษาหรือร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และกองทะเบียนจัดหางานกลางคุ้มครองคนหางาน หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37254 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ 2564 จัดเต็มทั้งด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก เสริมสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงให้ผู้ส่งออก SMEs แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและผันผวน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ 2564 จัดเต็มทั้งด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก เสริมสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงให้ผู้ส่งออก SMEs แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและผันผวน
EXIM BANK ออก “มาตรการของขวัญปีใหม่ ปี 2564” เพื่อช่วยผู้ประกอบการทั้งที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจส่งออกและผู้ประกอบการ SMEs ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ให้มีต้นทุนต่ำลง โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ วงเงินสินเชื่อที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจ
EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ 2564 จัดเต็มทั้งด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก เสริมสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงให้ผู้ส่งออก SMEs แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและผันผวน
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งต้องแบกรับต้นทุนในการดำเนินกิจการ ขณะที่การค้าขายระหว่างประเทศโดยเฉพาะการส่งออกไปต่างประเทศชะลอตัวลง EXIM BANK ตระหนักและเข้าใจปัญหาดังกล่าว จึงได้ออก “มาตรการของขวัญปีใหม่ ปี 2564” เพื่อช่วยผู้ประกอบการทั้งที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจส่งออกและผู้ประกอบการ SMEs ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ให้มีต้นทุนต่ำลง โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ วงเงินสินเชื่อที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงบริการประกันการส่งออกและบริการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อได้ง่ายขึ้น เพื่อความมั่นใจในการค้าขายระหว่างประเทศแม้ในภาวะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
มาตรการด้านสินเชื่อ EXIM BANK มีสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสูง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพียงพอใช้หมุนเวียนหรือปรับปรุงโรงงานและกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิตในต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ลดลง
• ผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจส่งออก วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 2% ต่อปี (3 เดือนแรก) หลังจากนั้นเป็นไปตามที่เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด โดยใช้เพียงบุคคลค้ำประกันเท่านั้น
• ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินสูงสุด 8 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 4% ต่อปีในปีแรก (Prime Rate -1.50% ต่อปี) หลักประกันขั้นต่ำ 30% และบุคคลค้ำประกัน สามารถใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมได้ และพิเศษ! สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพและกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ลดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 อีก 0.25% ต่อปี
มาตรการด้านประกันการส่งออก EXIM BANK ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้บริการประกันการส่งออกในต้นทุนที่ต่ำลง โดยมอบสิทธิพิเศษสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลสูงสุด 3,000 บาทต่อราย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการค้าขายได้อย่างมั่นใจกับคู่ค้ารายใหม่หรือรายเดิม แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกผันผวน
• ผู้เอาประกันรายใหม่ ฟรี! ค่าวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน 1 รายต่อกรมธรรม์สำหรับผู้ประกอบการที่ยื่นขอรับบริการ 100 รายแรก
• ผู้เอาประกันรายเดิม ที่ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออกกับ EXIM BANK ส่วนลด 50% สำหรับค่าวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน 2 รายต่อกรมธรรม์
ทั้งสองมาตรการมีระยะเวลาให้บริการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2563-28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยสิทธิพิเศษด้านประกันการส่งออกสำหรับผู้ส่งออกหรือผู้เอาประกันที่ไม่เคยได้รับส่วนลดค่าวิเคราะห์ข้อมูลในปี 2563 เท่านั้น
“มาตรการของขวัญปีใหม่ 2564 ของ EXIM BANK มีเป้าหมายเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้ผู้ส่งออกสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้หรือแข่งขันได้มากขึ้นในระยะถัดไป โดยใช้โอกาสนี้ปรับปรุงสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในโลกปัจจุบันที่มีพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปในรูปแบบ New Normal ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจและการส่งออกของไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches 2021 New Year Gift Program Offering Credit and Export Insurance Facilities to Boost Liquidity and Hedge Risks for SME Exporters amid Economic Slowdown and Volatility
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that the global economic conditions for the past year have affected business liquidity of Thai entrepreneurs in all industrial sectors as they, especially exporters, have to carry higher operating costs and expenses in the face of the sluggish international trade. EXIM Thailand has been aware of such circumstance and thus implemented the “2021 New Year Gift Program.” The program is aimed at assisting entrepreneurs who are export startups and SMEs in all sectors in cutting their expenses with provision of special interest rates and adequate credit lines to support their business operations, as well as in access to export credit insurance facility and buyer analysis service in order to enhance their confidence in international trade even amid the prevailing economic slowdown and uncertainties.
Credit facility: EXIM Thailand makes available soft loans with high credit lines and low interest rates to provide entrepreneurs with adequate liquidity for use as revolving fund or for factory and production process improvement with a view to raising their production capacity and efficiency with lower operating costs.
• Export startups: Maximum credit line of 1 million baht per client at a low interest rate of only 2% per annum (first 3 months) and thereafter at a rate as specified by the Bank, secured only by a personal guarantee.
• SMEs: Maximum credit line of 8 million baht per client at the lowest interest rate of 4% per annum in the 1st year (prime rate -1.50% per annum) requiring loan security with coverage of only 30% and personal guarantee or a letter of guarantee from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG), and Special! additional reduction of interest rate by 0.25% per annum in the 1st - 2nd years for agriculture and biotechnology and food processing industries.
Export credit insurance facility: EXIM Thailand encourages entrepreneurs to use export credit insurance facility at lower costs with offering of a special benefit, i.e. analysis service worth 3,000 baht maximum per client to boost their confidence in trading with new and existing customers even under the current sluggish and uncertain economic circumstances.
• The new insured: Free! buyer analysis service fee for 1 buyer per insurance policy for the first 100 insurance facility applicants.
• The existing insured: A 50% discount on the buyer analysis service fee for 2 buyers per insurance policy held by each existing insurance facility client of the Bank.
Availability period of the program is December 1, 2020 - February 28, 2021. Only exporters or the insured who have not received discounts on buyer analysis service fee in 2020 are eligible for the above insurance facility benefit.
“EXIM Thailand’s 2021 New Year Gift Program aims to help reduce the burden of exporters, enabling them to continue their business operations and compete more effectively alongside development of products and services in response to demand and expectations of consumers with changing behaviors in the new normal lifestyle, which will in turn be conducive to gradual, but firm and consistent, recovery of Thai export and economy,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://bit.ly/39uYTnv
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมหารือนักวิชาการ kick-off จัดทำร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ร่วมหารือนักวิชาการ kick-off จัดทำร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
ดีอีเอส ร่วมหารือนักวิชาการ kick-off จัดทำร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
เมื่อวันที1ธันวาคม2563นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประธานเปิดการประชุมเริ่มต้นโครงการ(kick - off)การจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562โดยมีคณะอาจารย์ที่ปรึกษาจากศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำเสนอกรอบแนวคิดและแผนการดำเนินงาน ณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการนี้ที่ประชุมร่วมพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ในการแบ่งกลุ่มการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามหลักการMulti-Criteria Analysisเพื่อคัดเลือกประเด็นที่จำเป็นเร่งด่วนและมีผลกระทบกับสิทธิของประชาชนและการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการเพื่อมาจัดทำร่างประกาศที่เกี่ยวข้องก่อนโดยคาดว่าร่างประกาศในกลุ่มที่จำเป็นและเร่งด่วนที่สุดจะสามารถจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยได้ในช่วงปลายมกราคม2564
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37215 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเตรียมเฮ ก.แรงงาน จับมือ ก.คลัง ติดอาวุธแก้จน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเตรียมเฮ ก.แรงงาน จับมือ ก.คลัง ติดอาวุธแก้จน
กระทรวงแรงงาน เตรียมจับมือ กระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ติดอาวุธแก้จน สร้างอาชีพและมีรายได้ที่มั่นคง
วันที่ 2 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้หารือแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร่วมกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงหารือแนวทางการจัดทำโครงการสร้างความรู้ สร้างสัมมาชีพ ยกระดับทักษะ และหางานให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งที่อยู่ในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตรให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงโครงการให้ความรู้ด้านการเงินและดิจิทัล เพื่อยกระดับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เป็นแรงงานคุณภาพที่มีอาชีพที่มั่นคงและพ้นเส้นความยากจน ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า สืบเนื่องจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเมื่อปี 2560-2561 และมีแนวโน้มจะเปิดรับลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐอีกครั้งในช่วงต้นปี 2564 โดยในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานมีแนวทางที่จะขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและจังคม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง เป็นต้น เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่การฝึกอาชีพ เพื่อสร้างองค์ความรู้ทั้งด้านการเงินและดิจิทัล ให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นการ “สอนหาปลา” แทนการให้ปลา รวมถึงหางานและตลาดที่เหมาะสมให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่ในวัยแรงงาน เป็นการ “ให้เบ็ดตกปลา” นอกจากนี้ ยังประสานกับเครือข่ายจัดหาแหล่งเงินทุน อาทิ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และธนาคารพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีอาชีพที่มั่นคงและหลุดพ้นจากความยากจน ภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ”
“แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมายควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุ คนพิการ แลผู้ต้องขัง ซึ่งกระทรวงแรงงานจะเดินหน้าให้การช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่ คนที่มีงานทำอยู่แล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น และคนที่ว่างงานต้องมีงานทำ ซึ่งการจะก้าวไปถึงความมุ่งหมายนั้นได้จึงต้องเริ่มต้นจากเพิ่มทักษะ ความรู้ ความสามารถ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37240 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขยุคใหม่ ใสสะอาด ต้านคอร์รัปชัน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
กระทรวงสาธารณสุขยุคใหม่ ใสสะอาด ต้านคอร์รัปชัน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) กระตุ้นจิตสำนึกบุคลากร ไม่ยอมรับ ไม่ทนการโกง สร้างเครือข่ายป้องกันทุจริตให้ยั่งยืน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) กระตุ้นจิตสำนึกบุคลากร ไม่ยอมรับ ไม่ทนการโกง สร้างเครือข่ายป้องกันทุจริตให้ยั่งยืน
วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “กระทรวงสาธารณสุขใสสะอาด ร่วมต้านทุจริต (MOPH Zero Tolerance)” เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล พร้อมมอบโล่เกียรติคุณให้กับ 15 หน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี 2563 ระดับ AA และ A
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อต้องการให้คนไทยมีความซื่อสัตย์สุจริต ยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต มุ่งสร้างความสุขให้ประชาชน ควบคู่กับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการสร้างความตระหนัก ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ค่านิยมซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งนับเป็นความภูมิใจของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่จะร่วมกันประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในการไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชัน และร่วมสร้างวัฒนธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขอย่างจริงจัง ภายใต้แนวคิด “กระทรวงสาธารณสุขใสสะอาด ร่วมต้านทุจริต (MOPH Zero Tolerance)”
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดทิศทางการป้องกันปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ โดยจัดทำแผนแม่บทการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กระทรวงสาธารณสุข ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) และกำหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลูกและปลุกจิตสำนึก ป้องกัน ปราบปราม และเครือข่าย) มุ่งเน้นให้เกิดการป้องกันการทุจริตที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ และมีการบริหารงานที่โปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล
พร้อมกันนี้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเจตนารมณ์ว่า จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ จะเป็นคนดี มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติตนในสัมมาอาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นหลักสำคัญมั่นคง ดำรงตนอยู่ด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่กระทำการโกงแผ่นดิน ไม่ทนต่อการทุจริต และไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หากินบนความทุกข์ยากของประชาชน พร้อมถวายสัจวาจาว่า จะประพฤติปฏิบัติตนตามรอยพระยุคลบาท สืบสานพระราชปณิธาน รักษา ต่อยอด ศาสตร์ของพระราชาผู้ทรงธรรมดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ ยืนเคียงข้างสุจริตชน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป
ทั้งนี้ 15 หน่วยงานที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณฯ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กรมอนามัย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว องค์การเภสัชกรรม และสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2563 | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2563
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และการเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2563 ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง กุ้งขาวแวนนาไม และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และการเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2563 ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง กุ้งขาวแวนนาไม และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ และปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนธันวาคม 2563 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.64 - 7.66 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.20 - 0.50 เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลงในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ขณะที่ความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์และการส่งออกอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีซึ่งเป็นเทศกาลท่องเที่ยวและปีใหม่ ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 54.85–57.85 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.13 – 5.60 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดน้อยลงจากการขาดแรงงานกรีดยาง ประกอบกับภาคใต้ของประเทศไทยในช่วงครึ่งเดือนแรกอาจมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกรีดยางของชาวสวนยางพารา รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.84 - 1.89 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.55 – 3.28 เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลผลิตปี 2563/64 ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มาก ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเก็บเกี่ยวและส่งผลทำให้คุณภาพเชื้อแป้งในหัวมันสำปะหลังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นของประเทศจีนเพื่อนำไปใช้ผลิตเอทานอลทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาสูงและมีปริมาณสต็อกคงเหลือลดลง กุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 136.25 – 137.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนร้อยละ 0.18 – 0.74 เนื่องจากความต้องการในการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลการท่องเที่ยวตามมาตรการวันหยุด และเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ประกอบกับเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยจากอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้า อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยเสี่ยงจากราคากุ้งโลกกดดันราคาในประเทศให้ลดลง และสุกร ราคาอยู่ที่ 76.65 – 76.70 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.59–1.66 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน ผนวกกับใกล้ช่วงเทศกาลวันหยุดและการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ทำให้คนไทยเริ่มออกมาใช้จ่ายรวมถึงการบริโภคสุกรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มราคาสุกรเพิ่มขึ้น
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,959 - 8,024 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.03-3.97 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 9,103 - 9,346 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 9.11-11.48 และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,839 - 9,952 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 2.03 - 3.14 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี โดยผลผลิตปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา และโรงสีบางแห่งประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องหรือปัญหาขาดทุน ทำให้ชะลอหรือหยุดการรับซื้อข้าวจากชาวนา ประกอบกับค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันราคาส่งออกข้าวไทยลดลง น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคา อยู่ที่ 15.06 - 15.12 เซนต์/ปอนด์ (10.12 - 10.16 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 1.00 เนื่องจากค่าเงินเรียลบราซิลอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ กระตุ้นให้ผู้ผลิตน้ำตาลของบราซิลส่งออกน้ำตาลเพิ่มขึ้น และบราซิลได้เพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตน้ำตาลเป็นร้อยละ 63 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ แนวโน้มการผลิตและการส่งออกน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นของประเทศอินเดียยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำตาล โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลของประเทศอินเดียในปีการผลิต 2563/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 หรือคิดเป็น 33.76 ล้านตัน และการส่งออกน้ำตาลของประเทศอินเดียจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 หรือคิดเป็น 6.0 ล้านตัน และปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 6.00 - 6.15 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 8.89 - 11.11 เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาปาล์มน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ โรงงานสกัดจึงรับซื้อผลผลิตในราคาที่ต่ำลง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับคุมเข้มห้ามลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติ และสั่งควบคุมมาตรการ ASQ คลายกังวลประชาชน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
นายกฯ กำชับคุมเข้มห้ามลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติ และสั่งควบคุมมาตรการ ASQ คลายกังวลประชาชน
นายกฯ กำชับคุมเข้มห้ามลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติ และสั่งควบคุมมาตรการ ASQ คลายกังวลประชาชน
วันนี้ (วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563) นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นห่วง และสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำเขตแดนเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด การลักลอบเข้าเมืองถือเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ พร้อมกำชับมาตรการการจัดการ สถานที่กักตัวทางเลือกแห่งรัฐสำหรับชาวต่างชาติ ASQ ให้ประชาชนเชื่อมั่น มั่นใจ ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
นายประทีปฯ ยืนยันว่า ต่อกรณีผู้ป่วยหญิงไทยที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 ได้ส่งตัวไปรักษาและติดตามกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย เพื่อตรวจคัดกรองโรคแล้ว กว่า 100 ราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มเติม ในส่วนของประชาชน และอาสาสมัครสาธารณสุข ขอให้ช่วยกันดูแลหมู่บ้าน ชุมชน ของตน หากพบคนแปลกหน้า ต้องตรวจสอบว่าเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ ผ่านกระบวนการควบคุมโรคอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตามมาตรการป้องกันและสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น รัฐบาลได้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดเพิ่มเติม ดำเนินการตรวจคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวดจึงขอให้ประชาชนไม่ต้องเป็นกังวล แต่เป็นกำลังสำคัญของรัฐในการช่วยกันสอดส่องดูแล
ในส่วนของมาตรการจัดสถานที่กักตัวทางเลือกแห่งรัฐสำหรับชาวต่างชาติ (Alternative State Quarantine : ASQ) นายประทีปฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อข้อห่วงกังวลของประชาชนในพื้นที่ โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างรัดกุม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน โดยขณะนี้โรงแรมที่อยู่ในส่วนของ ASQ มีจำนวน กว่า 100 แห่ง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล ไม่ตระหนก พร้อมท่องเที่ยวอย่างผ่อนคลายในช่วง High Season
นายประทีปฯ ย้ำชัดว่า ไทยดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีการจัดการตามมาตรการที่ดี ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จนทำให้ประเทศไทยตั้งมั่นได้เร็วในการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยจึงพร้อมเริ่มดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ไม่มีประเด็นน่าห่วงกังวล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37233 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือความร่วมมือทวิภาคี ไทย – จีน และการเตรียมความพร้อมการประชุมสมัชชาใหญ่ ครั้งที่ 15 ผ่านระบบ e-conference | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส หารือความร่วมมือทวิภาคี ไทย – จีน และการเตรียมความพร้อมการประชุมสมัชชาใหญ่ ครั้งที่ 15 ผ่านระบบ e-conference
ดีอีเอส หารือความร่วมมือทวิภาคี ไทย – จีน และการเตรียมความพร้อมการประชุมสมัชชาใหญ่ ครั้งที่ 15 ผ่านระบบ e-conference
เมื่อวันที่1ธันวาคม2563 (เวลาประเทศไทย)นางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือผ่านระบบe-conferenceกับนายLiu Zipingรองอธิบดีฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีนในเรื่องความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย–จีนและความมือในระดับภูมิภาคนอกจากนี้ยังได้มีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่15ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่3 – 5ธันวาคม2563ณสำนักงานใหญ่องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)กรุงเทพมหานคร
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37218 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. เตรียมเสนอครม. อนุมัติ “คนละครึ่ง” เฟซ 2 เปิดลงทะเบียน 5 ล้านคน เพิ่มวงเงินเป็น 3,500 บาท ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม พร้อมเปิด “เที่ยวไทยวัยเก๋า” ส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอาย | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ศบศ. เตรียมเสนอครม. อนุมัติ “คนละครึ่ง” เฟซ 2 เปิดลงทะเบียน 5 ล้านคน เพิ่มวงเงินเป็น 3,500 บาท ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม พร้อมเปิด “เที่ยวไทยวัยเก๋า” ส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอาย
ศบศ. เตรียมเสนอครม. อนุมัติ “คนละครึ่ง” เฟซ 2 เปิดลงทะเบียน 5 ล้านคน เพิ่มวงเงินเป็น 3,500 บาท ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม พร้อมเปิด “เที่ยวไทยวัยเก๋า” ส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ
วันนี้ (2 ธ.ค. 63) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 6/2563 ดังนี้
ทั้งนี้ นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยที่ประชุม ศบศ. เห็นชอบ ว่า มาตรการคนละครึ่ง ระยะที่สอง โดยจะมีรูปแบบเช่นเดียวกับระยะแรก คือ ภาครัฐจะร่วมจ่ายร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน โดยมาตรการ ระยะที่สอง จะมีรายละเอียดเพิ่มเติม คือ 1. เปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิเพิ่มเติมจำนวน 5 ล้านคน ระยะเวลาการใช้เงินตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2564 โดยจะได้รับวงเงินคนละ 3,500 บาท และ 2. เพิ่มวงเงินผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่หนึ่ง อีกคนละ 500 บาท และจะขยายระยะเวลาการใช้สิทธิมาตรการระยะที่หนึ่งออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากโครงการคนละครึ่ง ระยะที่หนึ่ง สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการระยะที่สองได้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีในการพิจารณาอนุมัติหลักการเห็นชอบต่อไป ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้เห็นชอบมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน โดยมีระยะเวลาการดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2564
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังเผยว่า ศบศ. เห็นชอบปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตการใช้สิทธิจำนวนการจองห้องพักจากเดิมประชาชนจองที่พักได้ไม่เกิน 10 คืน (Room night) ต่อ 1 สิทธิ เพิ่มเป็น 15 คืน (Room night) ต่อ 1 สิทธิ (2) เพิ่มจำนวนห้องพักในโครงการจากเดิม 5 ล้านคืน เป็น 6 ล้านคืน ทั้งนี้ จำนวนห้องที่เพิ่มมาจะสนับสนุนเฉพาะ E-voucher แต่ไม่อุดหนุนเรื่องค่าเครื่องบิน (3) ขยายระยะเวลาการใช้สิทธิโครงการถึง 30 เมษายน 2564 (4) ขยายช่วงเวลาการจองที่พัก จากเวลา 06.00 – 21.00 น. เป็นเวลา 06.00 – 24.00 น. (5) เพิ่มโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตฯ ธุรกิจโรงแรม แต่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและพยุงการจ้างงาน (6) อนุมัติให้ธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวสามารถใช้ระบบคูปองออนไลน์ (E-Voucher) ได้ ประกอบด้วย ธุรกิจสปา นวดเพื่อสุขภาพหรือธุรกิจการขนส่งภาคท่องเที่ยว (7) ปรับปรุงเกณฑ์สนับสนุนค่าบัตรโดยสารเครื่องบินจากเดิมรัฐสนับสนุนร้อยละ 40 แต่สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อ 1 สิทธิ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อ 1 สิทธิ เฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องการภาคการท่องเที่ยวต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ และเชียงราย และ (8) กำหนดหลักเกณฑ์การลาสำหรับข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถลาพักร้อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเมื่อใช้สิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
พร้อมปรับปรุงโครงการกำลังใจ ดังนี้ (1) เปิดให้บริษัทนำเที่ยวที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้เพิ่มเติมโดยใช้หลักเกณฑ์เดิมของโครงการ (2) บริษัทนำเที่ยวที่กรอกรายการนำเที่ยวไม่ครบ 15 รายการ สามารถกรอกเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ หากกรอกครบ 15 รายการแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้อีก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บริษัทนำเที่ยวลงทะเบียน และ (3) ระยะเวลาที่จะเปิดให้สมัครเข้าร่วมโครงการและกรอกรายการนำเที่ยวภายใน 15 ธันวาคม 2563
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบโครงการ “เที่ยวไทยวัยเก๋า” ส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ เงื่อนไขโครงการ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป และต้องเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัดเฉพาะวันธรรมดา (เข้าพักในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี) ผ่านบริษัทนำเที่ยว โดยโปรแกรมการท่องเที่ยวต้องมีราคาขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 12,500 บาทต่อคน/โปรแกรม และระยะเวลาการเดินทางไม่น้อยกว่า 3 วัน 2 คืน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายผ่านบริษัทนำเที่ยวในลักษณะร่วมจ่าย ไม่เกิน ร้อยละ 40 และไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้สิทธิในโครงการนี้ได้เช่นกัน แต่จะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น สำหรับเงื่อนไขของบริษัทนำเที่ยวที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องจดทะเบียนดำเนินธุรกิจ ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563 เนื่องจากต้องการช่วยเหลือบริษัทนำเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างแท้จริง โดยบริษัทนำเที่ยวสามารถรับนักท่องเที่ยวผ่านโครงการได้ไม่เกิน 3,000 ราย มีระยะเวลาการดำเนินการ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป้าหมายคาดว่าจะมีกลุ่มผู้สูงอายุเดินทางท่องเที่ยวจำนวน 1 ล้านคน โดยใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณเดิมภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
โอกาสนี้ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังกล่าวว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีและการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรับฟังความเดือดร้อนจากภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีมอบหมายคณะที่ปรึกษาประสานงานร่วมกับภาคเอกชน สภาหอการค้าที่จังหวัดภูเก็ต และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทำมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น อาทิ การส่งเสริมนักท่องเที่ยวชาวไทยให้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ตมากขึ้น ดึงดูดให้มีการท่องเที่ยวในวันธรรมดา การกระตุ้นเรื่องตั๋วเครื่องบิน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้มีท่องเที่ยวทางรถยนต์ รสบัส และมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน รวมถึงมาตรการระยะสั้นสำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเร่งรัดดำเนินการ Ease of traveling หรือการอำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างชาติที่เดินทางมาจังหวัดภูเก็ต ภายใต้มาตรการคัดกรองโรคที่รัดกุม พร้อมขอให้ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จัดประชุม สัมมนา ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมหารือกระบวนการขั้นตอนวีซ่าประเภทต่าง ๆ ให้อำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางกลับมาประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มชาวต่างชาติที่มีคู่สมรสเป็นชาวไทย หรือมีที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ เลขา สศช. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการต่างๆ ไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชน โดยผู้ว่า ททท. ย้ำว่า ทุกกรณีสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ หากพบส่อแววผิดปกติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดำเนินการอย่างเด็ดขาดด้วย
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37242 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว
ธ.ก.ส.เปิดโครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือก ฟรีดอกเบี้ย 5 ด. และสินเชื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1/ปี วงเงินรวมกว่า 30,000 ลบ. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเก็บรักษาข้าวเปลือกและรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำในช่วงผลผลิตออก
ธ.ก.ส. เปิดโครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือก ฟรีดอกเบี้ย 5 เดือน และสินเชื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเก็บรักษาข้าวเปลือกและรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม และ 26 พฤศจิกายน 2563 ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนการจ่ายเงินในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม คุ้มค่ากับการผลิต และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปแล้วนั้น
เพื่อเป็นการดูแลรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง รัฐบาลได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการภายใต้มาตรการคู่ขนานเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว ไม่ต้องเร่งขายในช่วงที่ราคาตกต่ำ โดยมีเป้าหมายการจ่ายสินเชื่อจำนวน 1.5 ล้านตันข้าวเปลือก ณ ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 ซึ่งข้าวเปลือกชนิดสีได้ต้นข้าวต่ำกว่า 20 กรัม ไม่รับเข้าร่วมโครงการ และข้าวหอมมะลิจะมีเมล็ดข้าวแดงได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ไม่เกิน 22 เมล็ดใน 100 กรัม) กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตัน ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 10,400 – 11,000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 8,900 – 9,500 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 5,400 บาท/ตัน ข้าวหอมปทุม 7,300 บาท/ตัน และข้าวเหนียว 8,600 บาท/ตัน วงเงินรวม 15,284 ล้านบาท โดยเกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 และภาคใต้ตั้งแต่เดือนมีนาคม – 31 กรกฎาคม 2564 กำหนดชำระคืนเงินกู้ภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ โดยไม่มีอัตราดอกเบี้ย
และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2563/64 เพื่อช่วยให้สถาบันเกษตรกรเข้ามามีบทบาทในการช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในตลาดโดยรวบรวมและรับซื้อข้าวจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป นำมาเก็บรักษาตามเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อรอการขายหรือนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรจะได้รับวงเงินกู้ตามศักยภาพ แผนธุรกิจ และไม่เกินวงเงินที่นายทะเบียนกำหนด ระยะเวลาตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 กันยายน 2564 กำหนดระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ตามรอบธุรกิจแต่ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตัวแทนกลุ่มธรรมาภิบาลและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ เข้าพบ รมช.มนัญญา | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ตัวแทนกลุ่มธรรมาภิบาลและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ เข้าพบ รมช.มนัญญา
ตัวแทนกลุ่มธรรมาภิบาลและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ เข้าพบ รมช.มนัญญา เพื่อแสดงความขอบคุณกรณีไฟเขียวดำเนินคดีกับอดีตคณะกรรมการที่ทุจริต
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มธรรมาภิบาลและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ สืบเนื่องจากเมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ประสานกับสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้หารือร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้มีการเร่งดำเนินคดีกับอดีตกรรมการสหกรณ์สโมสรรถไฟจำกัด (สอ.สรฟ.) ที่มีการทุจริตทำให้สหกรณ์เสียหายกว่า 2,285 ล้านบาท และได้สั่งการให้ดำเนินการกับทุกคนที่ทุจริต
รมช.มนัญญา กล่าวว่า เป็นความตั้งใจของตนที่ต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมเอกสารและติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิดและให้เกิดผลสัมฤทธิ์ผล เพื่อไม่ให้เกิดการถ่ายเททรัพย์ ทางดีเอสไอจะได้สามารถจัดการยึดทรัพย์ได้ โดยพร้อมให้ความร่วมมือกับดีเอสไอเป็นอย่างดี ให้ประสานด้วยวาจาเพื่อความรวดเร็ว เพื่อให้ความเป็นธรรมและช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งสนับสนุนให้สมาชิกมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการสหกรณ์ สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ยึดนโยบายโปร่งใสให้สมาชิกมีบทบาทร่วมกันตรวจสอบ โดยท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้แสดงความห่วงใยถึงเรื่องนี้ด้วย
รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจ และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประธานและสมาชิกสหกรณ์ โดยจัดสรรงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญในการจัดอบรม ประชุม สัมมนา ซึ่งความรู้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาระยะยาวได้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดสัมมนา" สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม " ครั้งที่ 4 กระตุ้นประชาชนรู้ทันสื่อในยุคดิจิทัล | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส จัดสัมมนา" สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม " ครั้งที่ 4 กระตุ้นประชาชนรู้ทันสื่อในยุคดิจิทัล
ดีอีเอส จัดสัมมนา" สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม " ครั้งที่ 4 กระตุ้นประชาชนรู้ทันสื่อในยุคดิจิทัล
วันพุธที่2ธันวาคม2563นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นวิทยากรร่วมเสวนา"สร้างการรับรู้เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม"ภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมครั้งที่4 ณห้องกรุงศรีอยุธยา2โรงแรมกรุงศรีริเวอร์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีผู้ร่วมสัมมนาจากบริษัททีโอทีจำกัด(มหาชนคณะผู้บริหารส่วนราชการ บุคลากรทางการแพทย์บุคลากรทางการศึกษาภาคเอกชนภาคประชาชนผู้แทนสมาคมวิทยุสมัครเล่นและสื่อมวลชนร่วมงานทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม(Anti Fake News Center: AFNC)นับเป็นอีกกิจกรรมที่สร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไปรู้เท่าทันเข้าใจในกระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมรวมทั้งสามารถรับมือกับข่าวปลอมได้ซึ่งศูนย์ฯเน้นข่าวที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน4กลุ่มข่าวคือ
(1)กลุ่มภัยพิบัติ(น้ำท่วมแผ่นดินไหวเขื่อนแตกสึนามิไฟไหม้)
(2)กลุ่มเศรษฐกิจการเงินการธนาคาร/หุ้น
(3)กลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพวัตถุอันตรายเครื่องสำอางรวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น
(4)กลุ่มนโยบายรัฐบาล/ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม/ขัดต่อศีลธรรมอันดีและความมั่นคงภายในประเทศ
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูโอ๊ะ แจ้งข่าวดี ศธ.-ซีมีโอสะเต็มเอ็ด-เชฟรอน ผนึกกำลังให้ทุนเรียนฟรีโครงการ “Career Academies” ประเดิมล็อตแรกสร้างโอกาสแก่เยาวชนปราจีนบุรี-นครนายก-สระแก้ว | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ครูโอ๊ะ แจ้งข่าวดี ศธ.-ซีมีโอสะเต็มเอ็ด-เชฟรอน ผนึกกำลังให้ทุนเรียนฟรีโครงการ “Career Academies” ประเดิมล็อตแรกสร้างโอกาสแก่เยาวชนปราจีนบุรี-นครนายก-สระแก้ว
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) และบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
ครูโอ๊ะ แจ้งข่าวดี ศธ.-ซีมีโอสะเต็มเอ็ด-เชฟรอน ผนึกกำลังให้ทุนเรียนฟรีโครงการ “Career Academies” ประเดิมล็อตแรกสร้างโอกาสแก่เยาวชนปราจีนบุรี-นครนายก-สระแก้ว ลั่นเรียนจบแล้วได้งานทำ หวังสร้างเป็นโมเดลสะเต็มศึกษาสู่โลกอาชีพ ก่อนขยายอีกเก้าจุดทั่วประเทศ
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) และบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จัดโครงการพัฒนารูปแบบสะเต็มศึกษาสู่โลกอาชีพ (Career Academies) เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่เหมาะสมและความเท่าทันโลกอาชีพ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนอายุ 17-25 ปีในจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว 150 คนแรก ให้ได้รับประสบการณ์การประกอบอาชีพสะเต็มศึกษา วัดแวดความถนัดและความสนใจ เพื่อเตรียมความพร้อมในโปรแกรม Career Academies ตามมาตรฐานสหรัฐอเมริกา ก่อนเข้าสู่การทำงานในโลกอาชีพกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ช่วยพัฒนาประเทศทันทีหลังจบการศึกษา โดยได้รับทุนเรียนฟรีตลอดโครงการ
“สำหรับความร่วมมือในโครงการสะเต็มศึกษาสู่อาชีพโลก เกิดจากความตระหนักในการเตรียมความพร้อมทรัพยากรมนุษย์สู่โลกของอาชีพ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ศธ. ซีมีโอสะเต็มเอ็ด และเชฟรอน เพื่อพัฒนาเยาวชนที่ขาดโอกาส ให้มีความพร้อมทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่เหมาะสมและก้าวทันโลกอาชีพ เน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ ชุมชน องค์กรภาคสังคม และหน่วยงานทางการศึกษา พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์สู่โลกอาชีพที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม (S-Curve) ที่จะช่วยผลักดันการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งกลุ่มอาชีพที่มีความขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของตลาดงาน มีเป้าหมายใน 2 กลุ่มอาชีพ คือกลุ่มอาชีพด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Healthcare and Wellness) และกลุ่มอาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ซึ่งจะเริ่มนำร่องโครงการรอบแรกใน 3 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว โดยเปิดรับสมัครเยาวชนที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป ที่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งในสังกัด สพฐ., สช., องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และนักศึกษาสังกัด กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายช่วงอายุระหว่าง 17–25 ปี เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเพื่อร่วมโครงการในปีการศึกษา 2564
โดยในวันที่ 6 ธันวาคม 2563 นี้ กำหนดจัดกิจกรรม “ค่ายเปิดโลกอาชีพสะเต็มศึกษา (Career Day)” เพื่อคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาที่สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 400 คน ให้เหลือ 150 คน เพื่อเข้าค่ายสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการประกอบอาชีพด้านสะเต็มศึกษา และเข้าสู่เส้นทางอาชีพสะเต็ม ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. ที่โรงเรียนมัธยมวัดใหม่กรงทอง จ.ปราจีนบุรี โดยจะให้สิทธิ์กับโรงเรียนที่ตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมมาเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้ นักเรียนนักศึกษาที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ จะต้องเรียนอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดนำร่อง โดยสามารถสมัครผ่านทางโรงเรียนและสถานศึกษาต้นสังกัด เพื่อเข้าสู่ระบบคัดเลือกเข้าค่ายเปิดโลกอาชีพสะเต็มศึกษา ตามฐาน workshop คนละไม่เกิน 3 ฐานจากทั้งหมด 5 ฐาน เมื่อสามารถผ่านการคัดเลือกก็จะเข้าสู่โปรแกรม Career Academies สำหรับจัดการเรียนรู้เป็นเวลา 2 ปีขึ้นไป โดยมีคณะครูดูแลรับผิดชอบเป็นการเฉพาะ พร้อมร่วมวางแผนลักสูตรและจัดสอน หรือเปิดโปรแกรมในสถาบันหรือศูนย์ฝึกวิชาชีพในรูปแบบหลักสูตรระยะสั้น เพื่อเพิ่มทักษะของกำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความต้องการสูงหรือมีความขาดแคลน และที่สำคัญนักเรียนจะได้รับทุนเรียนฟรี และเมื่อเรียนจบ ก็จะมีงานรองรับทันที" รมช.ศธ. กล่าว
ค่ายเปิดโลกอาชีพสะเต็มศึกษา (Career Day) มีกิจกรรม Workshop 5 ฐานวิชาชีพ พร้อมกับการวัดแววความถนัดตามกลุ่มอาชีพ ได้แก่
- ฐานผู้ช่วยพยาบาล โดย วิทยากรจากวิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา, โรงเรียนผู้ช่วยพยาบาลศิริราช และโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- ฐานผู้ดูแลผู้สูงอายุ โดย วิทยากรจากศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ สภากาชาดไทย
- ฐานผู้ดูแลเด็กเล็ก โดย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
- ฐานเชฟมืออาชีพ/นักโภชนาการ โดย เชฟบอล และเชฟราม กลุ่มมาสเตอร์เชฟ และบริษัทเอดูพาร์ค จำกัด
- นักออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดย วิทยากรจากบริษัทวิสดอมไวด์ จำกัด
จันทนา เชียงทอง: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
สถาพร ถาวรสุข, อิทธิพล รุ่งก่อน: กราฟิก
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37235 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมหมู่บ้านรางวัลพระราชทานฯ “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านคลองวัว อ.อัมพวา ชื่นชมเป็นแบบอย่างชุมชนในการทำแผนชุมชน/โครงการรองรับงบประมาณตรงตามความต้องการประชาชน | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
นายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมหมู่บ้านรางวัลพระราชทานฯ “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านคลองวัว อ.อัมพวา ชื่นชมเป็นแบบอย่างชุมชนในการทำแผนชุมชน/โครงการรองรับงบประมาณตรงตามความต้องการประชาชน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมหมู่บ้านรางวัลพระราชทาน หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านคลองวัว อ.อัมพวา ชื่นชมเป็นแบบอย่างชุมชนในการทำแผนชุมชน/โครงการรองรับงบประมาณตรงตามความต้องการประชาชน
วันนี้ (2 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 10.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ เดินทางมาเยี่ยมชมการดําเนินกิจกรรมของหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านคลองวัว ณ หมู่ที่ 5 หมู่บ้านคลองวัว ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมวิสาหกิจชุมชนการแปรรูปกล้วยหักมุก และการทํามะพร้าวแปรรูปครบวงจร ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากมะพร้าวทั้งต้น ใบ และผล โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ลดต้นทุนและยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น การทําน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อนอโวคาโด (เซรั่ม) การทำน้ำตาลมะพร้าว กระถางจากกาบมะพร้าว ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานจากมะพร้าวผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว เช่น ลูกบีบกะลา และรองเท้ากะลา รวมถึงถ่านใบโอชา การเพาะเลี้ยงชันโรง และผลิตภัณฑ์กระทงใบตองแห้งซึ่งเป็นพืชที่ปลูกแซมในสวนมะพร้าว มีการส่งไปจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น จีน เป็นต้น โดย จ.สมุทรสงครามพร้อมผลักดันให้มะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับประชาชนในหมู่บ้านผ่านหอกระจายข่าวของหมู่บ้านคลองวัว โดยนางณภัทร จตุรัส (ป้าเล็ก) ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมถามคำถามนายกรัฐมนตรีถึงโครงการคนละครึ่ง ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนเป็นอย่างดีว่าจะมีโครงการดังกล่าวต่ออีกหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันโครงการคนละครึ่งยังจะมีต่อไป โดยจะเริ่มลงทะเบียนในเดือนมกราคมปี 2564 พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีชื่นชมและรู้สึกพอใจต่อการบริหารจัดการหมู่บ้านคลองวัวที่ทำได้ดีเยี่ยม ถือเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” เป็นแหล่งการเรียนรู้สำหรับพื้นที่อื่น ในการเข้ามาศึกษาดูงาน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือกันของประชาชนทุกส่วนในหมู่บ้าน ซึ่งรัฐบาลต้องการให้มีีชุมชนเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศ พร้อมขอให้ประชาชนมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้มากขึ้น และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองทำในสิ่งใหม่ที่ดีแทนการทำแบบเดิม เพื่อให้ทันกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมของหอกระจายข่าว โดยขอให้ใช้หอกระจายข่าวสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐไปสู่ประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนรับรู้โครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลดำเนินการ รวมถึงการแจ้งเรื่องสุขภาพต่าง ๆ เช่น เรื่องการป้องกัน COVID-19 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ พร้อมขอให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาการรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบคอบก่อนการเผยแพร่ ป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนหมู่บ้านคลองวัว และชาวจังหวัดสมุทรสงครามทุกคนที่เป็นกำลังใจและจะยืนเคียงข้างรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน พร้อมขอให้หมู่บ้านชุมชนคลองวัว ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ วิถีชีวิตท้องถิ่นแบบพอเพียงและความรักสามัคคี โดยการสืบสาน รักษา ต่อยอด ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และขอให้ขยายไปสู่ชุมชนพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
สำหรับหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงมีจุดเด่นคือ การมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง และมีการทำแผนชุมชนที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยภาคประชาชนเป็นแกนนำที่เข้มแข็ง โดยมีนางณภัทร (ป้าเล็ก) เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประสานความร่วมมือคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี มีความเข้าใจในระบบราชการ ขณะเดียวกันก็มีการเก็บข้อมูลพื้นฐานของหมู่บ้าน เพื่อนำไปทำแผนชุมชน/แผนพัฒนาหมู่บ้านอย่างละเอียด ได้แก่ ข้อมูลอาชีพ ที่ดิน พืชสวน สัตว์เลี้ยง ยานพาหนะ เครื่องไฟฟ้า การใช้แหล่งน้ำ ค่าน้ำ ค่าไฟ รายรับ รายจ่ายความสามารถพิเศษของคนในครอบครัว เป็นต้น รวมทั้งมีระบบการสื่อสารภายในหมู่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละสัปดาห์ ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะมีตารางในการเดินไปเยี่ยมเยียนลูกบ้าน เพื่อพูดคุยสื่อสารถามทุกข์สุขอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ป้าเล็ก ยังเป็นผู้ดำเนินรายการหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน ทำให้การสื่อสารมีเอกภาพด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37231 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับนายกรัฐมนตรี ณ จังหวัดสมุทรสงคราม | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
ปลัดกระทรวงมหาดไทยร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับนายกรัฐมนตรี ณ จังหวัดสมุทรสงคราม
ปลัดกระทรวงมหาดไทยร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับนายกรัฐมนตรี ณ จังหวัดสมุทรสงคราม
วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) เวลา 08.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์หมู่ที่ 6 ต.บ้านปรก อ.เมือง และหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงบ้านคลองวัว ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โดยมีนายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ให้การต้อนรับเเละกล่าวรายงาน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผมมีความสุขและเคยชินกับการอยู่บ้านในสวนทำให้หวนรู้สึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ และผมดีใจที่ได้เห็นพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความสุขกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ขอให้รักษาวิถีชีวิตเเบบนี้ไว้ ให้รักบ้าน รักชุมชน และผมรู้สึกชื่นชมที่ชุมชนนี้ สามารถนำนโยบายของรัฐบาลที่ส่งมายังกระทรวงมหาดไทยสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนในพื้นที่ได้ผลจริงและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ขอให้พัฒนาต่อยอดศักยภาพเดิมที่เป็นวิถีชุมชน เพราะคนต่างชาติชอบการท่องเที่ยวที่มีวิถีชีวิต โฮมสเตย์แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั้งในไทยเเละต่างชาติ และในอนาคตผมต้องการจะหยิบของดีในเเต่ละพื้นที่ เข้าสู่ระบบวิสาหกิจชุมชน พร้อมขึ้นบัญชีสินค้า ช่วยให้ผู้ขายและผู้ประกอบการมีระบบซื้อขายเเละจัดจำหน่ายที่เป็นมาตรฐาน ส่วนราชการจะได้สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอุดหนุนวิสาหกิจชุมชนได้อีกด้วย
นายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า จังหวัดสมุทรสงคราม มีประชากรประมาณ 2 แสนคน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร และการประมง รายได้เฉลี่ย 1.42 แสนบาท/คน/ปี มีลักษณะพื้นที่มีระบบนิเวศ 3 ระบบทั้ง น้ำจืด น้ำกร่อย และ น้ำเค็ม มีผลไม้ที่มีชื่อเสียง 3 อย่างได้แก่ ลิ้นจี่ ส้มโอ และมะพร้าว นอกจากนี้ ยังเป็นจังหวัดที่มีคลองมากที่สุดในประเทศ วิถีชีวิตของคนจังหวัดสมุทรสงครามจึงผูกพันกับสายน้ำและธรรมชาติ จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งช่วงก่อนการเเพร่ระบาดของโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวปีละ 2 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 3,000 ล้านบาท
จากนั้น ได้ลงพื้นที่หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง "อยู่เย็น เป็นสุข" บ้านคลองวัว หมู่ 5 ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ได้นำแนวทางการพัฒนาหมู่บ้าน/ตำบล มาจากการเข้าอบรมวิธีการบริหารจัดการชุมชนของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยยึดหลักการทำงานแบบมีส่วนร่วม และใช้แผนพัฒนาชุมชนในการดำเนินการจัดกิจกรรม โดยเริ่มต้นจากกิจกรรม "ลงเเขก ลงคลอง" ให้คนในชุมชนมาช่วยกำจัดยุงลายตามแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาไข้เลือดออก ซึ่งต่อจากนั้นได้ริเริ่มกิจกรรมโดยกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อสร้างอาชีพ อาทิ กลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูมะพร้าวครบวงจรตำบลเหมืองใหม่, กลุ่มแปรรูปกล้วยมุก - หอม, กลุ่มแปรรูปผึ้งจิ๋ว (ชันโรง), ครัวเรือนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง, กลุ่มเย็บกระทงใบตองแห้ง และ ฐานเรียนรู้ว่าวจุฬา สร้างเสริมแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จนได้พัฒนาเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบระดับ มั่งมี ศรีสุข เมื่อปี พ.ศ.2553 และได้รับรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ดีเด่น ระดับจังหวัด ซึ่งในปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรสงคราม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37244 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ติดตามพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการท่องเที่ยวชุมชนณวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ณหมู่ที่6ต.บ้านปรกอ.เมืองจ.สมุทรสงครามโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครามกล่าวต้อนรับและประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์กล่าวรายงานสรุปการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ซึ่งได้รับรางวัลหมู่บ้านท่องเที่ยวชนบทพร้อมเยี่ยมชมการดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนกิจกรรมโคกหนองนาโมเดลกิจกรรมทำเกลือสปา(ตนย่ำเกลือ)การทำน้ำหวานจากดอกมะพร้าว(SYRUP)การบริหารจัดการน้ำสะอาดคลองผีหลอกบ้านพักริมคลองโฮมสเตย์และผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์
จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินกิจกรรมของหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง“อยู่เย็นเป็นสุข”บ้านคลองวัวณหมู่ที่5หมู่บ้านคลองวัวต.เหมืองใหม่อ.อัมพวาโดยมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่5กล่าวรายงานการจัดทำแผนชุมชนการพัฒนาหมู่บ้านคลองวัวและกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนการแปรรูปกล้วยหักมุกการทำน้ำมันมะพร้าวอโวคาโดและการทำมะพร้าวแปรรูปครบวงจร
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่าสำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตรซึ่งการนำมาสินค้ามาแปรรูปจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯมุ่งหวังให้เกษตรกรผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาดเพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.วธ.ร่วมชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และกล่าววัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการฯ ร่วมทั้งชมริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” | วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.ร่วมชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และกล่าววัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการฯ ร่วมทั้งชมริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
รมว.วธ.ร่วมชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และกล่าววัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการฯ ร่วมทั้งชมริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และกล่าววัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการฯ ร่วมทั้งชมริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เครือข่ายวัฒนธรรม และประชาชน ร่วมชมกิจกรรม ณ บริเวณสนามหญ้าด้านข้างหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ถนนสนามไชย กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37223 |